วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

++ Japan Trip ++ เที่ยววัดอาซาคุสะ ตอนที่ 1

กินเทมปุระจนอิ่มท้องกันไปแล้ว คราวนี้ได้เวลามาไฮไลท์ของวันนี้กันค่ะ  

วัดอาซากุสะ มีชื่อเดิมว่า วัดเซ็นโซจิ เป็นวัดพุทธโบราณ แต่ที่เรียกกันติดปากว่า วัดอาซากุสะ เพราะตั้งอยู่ในย่านอาซากุสะ มีเรื่องเล่าว่าก่อนจะมีการสร้างวัด มีพี่น้องคู่หนึ่งไปเจอรูปปั้นคันนน ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความเมตตาในแม่น้ำสุมิดะ และแม้ว่าทั้งคู่จะนำรูปปั้นนี้กลับทิ้งแม่น้ำอีกสักกี่ครั้ง ก็จะมีเหตุให้รูปปั้นกลับมาอยู่ในมือของคนทั้งสองเสมอ จึงมีการสร้างศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นการสักการะบูชาเทพเจ้าคันนน ต่อมาจึงมีการสร้างเป็นวัด เมื่อปี ค.ศ. 628 และสร้างเสร็จในปี 645ในอดีตวัดอาซากุสะเป็นวัดที่เหล่าโชกุนและซามูไร มักจะมาสักการะและขอพรจากเทพเจ้าคันนนเป็นประจำ และสิ่งที่ขอพรไปนั้นก็ประสบผลจริงทำให้ซามูไรและโชกุนจึงมีความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก

 ปัจจุบัน การสักการะเทพเจ้าคันนน สามารถทำได้โดยโดยการรดน้ำ และตรงกลางวัดจะมีกระถางธูปขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นความเชื่อว่า ถ้าได้รับควันนี้ติดตัวมา จะโชคดีมีสุข เพราะฉะนั้นทุกคนที่ไป ก็จะไปยืนอังรับเอาไอควันนั้นเข้าตัว และแน่นอนที่ขาดไม่ได้ก็คือ การทำบุญไหว้พระ ด้วยการโยนเหรียญลงในกล่อง แล้วตบมือ แปะ อธิษฐานเป็นอันจบพิธีไหว้พระแบบญี่ป่น และการเสี่ยงเซียมซี หรือญี่ปุ่นเรียกว่า โอมิกุจิ (Omiguji)

 จุดเด่นของวัดอาซากุสะคือ โคมไฟสีแดงแดงขนาดยักษ์ ที่แขวนอยู่ที่บริเวณประตู คามินาริมง”(ประตูฟ้าคำรณ) ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะชอบมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับโคมไฟนี้ นอกจากนี้ก็จะมีโคมไฟเล็กสีขาวมากมายเรียงกันอย่างสวยงามบริเวณหน้าวัด

นอกจากนี้ จะมีร้านขายของที่ระลึกเรียงรายอยู่ตลอดเส้นของถนนนากามิเสะ ที่ทอดยาวไปสู่ประตูอีกด้าน ของวัด ร้านส่วนใหญ่จะขายของที่ระลึกที่เป็นแบบเฉพาะของญี่ปุ่นที่เดียวในโตเกียว เช่น ตุ๊กตาแมวกวัก ,พวงกุญแจดาบซามูไร,ร่มญี่ปุ่น,ชุดกิโมโน ขนมญี่ปุ่นและขนมอาเกมันจู” ขนมขึ้นชื่อของวัดอาซากุสะ ทุกวันนี้ วัดอาซากุสะ” หรือ วัดเซ็นโซจิยังคงเป็นวัดเก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโตเกียว และเป็นสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาติอื่นๆ ที่ต้องแวะไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมทองคำ หรือเทพเจ้าคันนน เพื่อความโชคดีและเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก www.ilovetogo.com

เราสองคนเดินเก็บบรรยากาศของถนนนากามิเสะด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสำหรับเราเอาเพลิดเพลินกับการถ่ายรูป ส่วนโอ๋เพลินเพลินกับของฝากและขนมนานาชนิดที่วางขายสองข้างทาง เราเลือกที่จะมาวัดนี้ในวันธรรมดา แต่ปรากฎว่าคนก็ไม่ได้น้อยลงเลย คนที่มากราบสักการะที่วัดแห่งนี้ในวันนี้ค่อนข้างหนาตามากๆ เราสองคนเดินผ่านฝูงชนเข้ามาด้านในถนนสายช้อปปิ้ง เดินดูของ เดินดูผู้คน เจอร้านขายของที่ระลึกก็แวะกันเล็นน้อยค่ะ 
ร้านนี้เป็นร้านขายขนม 3 ถุง 1000เยน ก็ประมาณ 400 ร้อยบาทบ้านเรา แพคเกจทำออกมาได้น่ารักเชียวค่ะ แต่ขนมด้านในเป็นขนมเซ็มเบ้ชิ้นเล็ก ถ้าเที่ยบบ้านเราก็น่าจะเป็นคล้ายๆข้าวตังไม่มีหน้าค่ะ แต่แป้งจะแข็งกว่า และเค็มกว่า โอ๋ซื้อติดไม้ติดมือมา 3 ถุึง 
"เอาไปฝากใครเนี่ย" เราถาม
"ไม่ได้เอาไปฝากใคร เมื่อกี้ไปยืนชิมหน้าร้านอร่อยดี เลยซื้อมากินเอง" โอ๋ตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
"ห๊ะ ... 3 ถุงเนี่ยนะ จะกินหมดเหรอ" 
"หมดสิ ค่อยๆกินเดี๋ยวมันก็หมดเองแหละน่า" พูดจบโอ๋ก็เดินไปดูร้านขายของที่ระลึกอีกหนึ่งร้านเบื้องหน้า
ของฝากที่นี่ก็มีมากมายจริงค่ะ ของที่ระลึกแต่ละชิ้นถ้าคิดเป็นเงินไทยก็แพงหลายอยู่นะคะ ราคาเริ่มต้นที่ 300 เยน อันหนึ่งก็ตกเกือบ 100 บาทค่ะ เราสองคนซื้อเจ้าแมวกวักกับโคมไฟยักษ์สัญลักษณ์ของวัดอาซาคุสะมาอย่างละอัน กะว่าจะเอามาติดตู้เย็นที่บ้านค่ะ สองอันรวมกัน 500 กว่าบาท ><" 
เดินเข้าไปเกือบถึงด้านในตัววัดแล้วค่ะ ต้องแวะกินขนมร้านดังที่พี่ตู่ (ติวเตอร์ตู่) เคยแนะนำกันหน่อย เป็นขนมทอดค่ะ ร้านนี้ร้านดังเชียวล่ะ ใครมาแล้วต้องลองมาชิมให้ได้นะคะ มีหลายไส้ให้เลือกชิม ไมว่าจะเป็นถั่วแดง ชาเชียว ฯลฯ กลิ่นหอมแตะจมูกแล้วค่ะ เดี๋ยวต้องไปเข้าแถวซื้อมากินซักอันสองอันแล้วล่ะ   
"ยุ่งๆๆ ร้านนี้ป่าวนะที่พี่ตู่บอกว่าขนมไส้ถั่วแดงอร่อยมาก" เราถามโอ๋เพื่อต้องการคำตอบช่วยยืนยัง
"ไม่รู้สิ ก็ที่รักอ่านมาเอง ค้นข้อมูลเองแล้วมาถามเค้า เค้าจะรู้มั๊ยเนี่ย" เออ จริงของโอ๋แฮะ
"เออวุ๊ย งั้น...เค้าว่าน่าจะใช่นะ มองดูรอบๆแล้วก็ไม่มีร้านอื่นอีกเลย" เราหันไปมองรอบๆ 
"ตกลงน่าจะเป็นร้านนี้แหละ อะ.. เดินเข้าไปชี้อย่างเดียว เค้าว่าป้าๆแกน่าจะเข้าใจ" เราบอกโอ๋พร้อมกับขำ  จริงๆโอ๋ไม่ค่อยกล้าที่จะสั่งอาหารหรือทำอะไรเองเลยค่ะ แต่ด้วยความที่โดนบังคับทำให้โอ๋ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำนัก ^^
เข้าแถวซื้อขนมไ่ม่ถึง 2 นาทีในที่สุดโอ๋ก็เดินออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง พร้อมกับถือขนมอยู่ในมือ 2 อัน 
"ว้าวๆๆๆ ได้มาแล้ว ซื้อมาตั้งสองอันเลยเหรอยุ่ง" เราถามเนื่องจากเกรงว่าความซวยกำลังจะมาถึงตัว
"เค้าซื้อไส้ถั่วแดง กะไส้ชาเขียวมาอะ ที่รักลองกินดูมั๊ย" นั่น...งานเข้าแล้วค่ะ
"เค้าไม่ชอบกินถั่งแดงกะชาเชียวอะ" เราเริ่มปัดป้องเจ้าสองอันนี้ออกจากตัว
"งั้นเค้ากินก่อนก็ได้" พูดจบโอ๋ก็กัดลงไปในเนื้อขนมไส้ถั่วแดง เรามองดูใบหน้าของโอ๋หลังจากที่กัดขนมและกำลังเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่ในปาก
"เป็นไงบ้างอะ" เราถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"อร่อยดีอะ ไม่หวานมากเกินไป แป้งก็กรอบนอกนุ่มใน ที่รักจะลองมั๊ย" น่าน.... งานเข้าอีกแล้วค่ะ ><"
ในที่สุดก็จำใจยอมรับขนมที่อยู่ในมือของโอ๋มาหนึ่งชิ้่น ทั้งๆที่เป็นคนไม่ชอบกินถั่วแดง และไม่ชอบกินชาเขียว (ยกเว้นชาเขียวร้อน + เ็ย็น) แต่ในที่สุดขนมไส้ถั่วแดงก็มาอยู่ในมือจนได้... เดินเข้ามาเกือบถึงด้านหน้าของวัด จะมีซอยเล็กๆอยู่ด้านขวามือ ชะโงกหน้าไปก็เห็นว่ามีร้านขายของอยู่เพียบเลยค่ะ เลยชวนโอ๋เข้าไปดูด้านใน โอววววววววว..แม่เจ้า มีร้านขายไอติมน่ากินๆอยู่ที่นี่ด้วยค่ะ แต่ตอนนี้ขนมยังเต็มปากอยู่เลย เราตกลงกันว่า หลังจากที่เข้าไปไหว้พระด้านในกันแล้วจะออกมาชิมไอติมคลายเหนื่อยกันสักหน่อย อิอิ 
เนื่องจากความอิ่มของเทมปุระยังอยู่เต็มท้องทำให้การกินขนมไส้ถั่วแดงของเราสองคนเป็นไปอย่างเชื่องช้า ขนมอร่อยมากค่ะ แต่ด้วยความตะกละของเราทำให้เห็นอะไรก็อยากกินไปหมด สุดท้ายก็เริ่มผะือืดผะอมกับการกินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราสองคนมานั่งพักลานกว้าง นั่งเล็กขนมไปเรื่อยๆค่ะ หมดเมื่อไหร่ค่อยลุกไปด้านในตัววัด ตอนนี้แบบว่า....เอ่อม...อิ่มมว๊ากกกกกกก... ><"
นั่งพักอยู่เกือบ 10 นาทีในที่สุดขนมในมือก็หมดลงจนได้ค่ะ เราดื่มน้ำเปล่าที่หยอดเหรียญซื้อมาตั้งแต่ก่อนเข้าวัดจนหมดขวดมองหน้ากันแล้วเดินเข้าไปด้านใน
"โอเคนะ พร้อมจะเข้าไปยัง" เราเริ่มแหย่โอ๋
"พร้อมแล้วคับ" โอ๋ตอบด้วยท่าทางมุ่งมั่น

เอาล่ะค่ะ กว่าจะผ่านด่านเข้าไปถึงตัววัดได้เล่นเอาพุงกางเลยทีเดียว เดี๋ยวในตอนหน้าเราเ้ข้าไปไหว้พระและฟังเรื่องเปิ่นๆของเราสองคนกันนะค อย่าลืมติดตามจ้า



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น