วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

++ Japan Trip ++ ล่องเรือชมแม่น้ำที่โตเกียว

หายหน้าหายตาไปนานเลยค่ะสำหรับรีวิวเที่ยวญี่ปุ่นของ munee กะ puri  เนื่องจากติดภาระกิจหลายประการเลยทีเดียว วันนี้ได้เวลามาอัพกันต่อค่ะ แม้ว่าตอนนี้ตาจะปรือมากมายเหลือเกินก็ตาม

รีวิวก่อนเรากลับลงมาจากทาคาโอะซังเป็นที่เรียบร้อย ระหว่างนั่งรถไฟกลับเข้ามาที่โตเกียว ทั้งแม่ ฮีโร่ซัง และโอ๋ ก็งีบเอาแรงในรถไฟกันเรียบร้อยแล้วค่ะ ใกล้ถึงสถานีโตเกียวฮีโร่ซังสะกิดให้แม่ตื่น พร้อมกับแจ้งให้เราเตรียมตัวลงสถานีนี้ ได้ข่าวจากแม่ว่า ฮีโร่มีเซอร์ไพรส์เล็กน้อยค่ะ   รถไฟจอดที่ชานชลาของสถานีโตเกียวเป็นที่เรียบร้อย เราทั้งหมดเดินออกมาจากชานชลาแล้วเลี้ยวขวาเดินตามฮีโร่ซังไปติดๆ 

ฮีโร่ซังพาเดินออกมาจากตัวสถานีในที่สุดก็โผล่ออกมาด้านนอกจนได้ค่ะ แต่การเดินเท้าของเราทั้ง 4 คนก็ยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น ฮีโร่ซังพาเดินไปยังท่าเรือ เดาว่างานนี้ได้นั่งเรือชมวิวยามเย็นของเมืองโตเกียวแน่ๆ
"ยุ่ง" เราเรียกโอ๋
"มีอะไรอะที่รัก" โอ๋ตอบด้วยสีหน้ามึนๆเต็มที่
"เค้าว่าฮีโร่ต้องพาไปนั่งเรือแน่ๆเลย" เราทำหน้าขึงขังเหมือนคนอวดรู้
"รู้ได้ยังไง" โอ๋ทำคิ้วขมวดบ้าง
"โอ๊ยยยยย ก็แหกตาดูบ้างสิที่รัก ป้ายอันนี้มันไปท่าเรือชัดๆ ถ้าไม่พาไปนั่งเรือเล่น จะพามาทางนี้ทำแป๊ะอารัยว้า" เราทำหน้าเย้ยหยันโอ๋ต่อ
"เออ เค้ามันซื่อ" โอ๋บอก
"แบบนี้เค้าไม่เรียกว่าซื่อ แต่เค้าเรียกว่า ซื่อบื้อ" เราพูดพร้อมกับหัวเราะ  โอ๋ชี้หน้าพร้อมกับพูด "เดี๋ยวจะโดน" 
 ค่ะ.. อย่างที่ได้แจ้งไปแล้วว่า วันนี้ฮีโร่ซังพามาเซอร์ไพรส์ด้วยการนั่งชมเรือ จำความได้ว่า หลังจากที่เดินลงไปด้านล่างสะพานลอยแล้ว เราจะเดินผ่านสวนสาธารณะ เมื่อไปถึงประตูด้านหลังของสวนก็เลี้ยวขวาเดินไปอีกนิดหน่อยก็จะเจอป้ายของท่าเรือ รอสัญญานไฟ แล้วข้ามถนนมุ่งหน้าไปท่าเรือกันเลยค่ะ
 ก่อนจะเข้าไปซื้อตั๋วเราทั้งสองคนแจ้งแม่ว่าขออนุญาตเข้าห้องน้ำก่อน แม่อนุญาตเป็นที่เรียบร้อย เราสองคนก็วิ่งแจ้นเข้าห้องน้ำกันอย่างรวดเร็ว ขอบอกว่าห้องน้ำที่นี่เหมือนกับห้องน้ำที่สถานีรถไฟก่อนเิดินทางไปทาคาโอะซังในรีวิวก่อนหน้านี้เป๊ะ โอย... ห้องน้ำกลิ่นแรงมากค่ะ ใครที่บอกว่าห้องน้ำญี่ปุ่้นสะอาดตลอดนั้นขอเถียงว่าไม่จริง ออกจากห้องน้ำมามองหน้าโอ๋เลิ่กลั่ก 
"ทำไมมันกลิ่นแรงแบบนี้วะ" เรามองหน้าโอ๋ด้วยอาการผะอืดผะอม
"ไม่รู้เหมือนกัน มาถามอะไรกันตอนนี้ล่ะเนี่ย รีบออกไปได้แล้ว" พูดเสร็จโอ๋ก็จูงมือเราออกไปจากห้องน้ำนรกนั่น
 ออกมาด้านนอก ฮีโร่ซังกับแม่ยืนรออยู่แล้ว แม่ตะโกนบอกให้รีบเดินเพราะเรือใกล้ออกเต็มที งานนี้ฮีโร่ซังบริการในเรื่องซื้อตั๋วนั่งชมวิวเป็นที่เรียบร้อยค่ะ เราสองคนได้แต่เดินตามเข้าไปด้านใน ก่อนจะขึ้นเรือที่เรานั่งชมวิว ก็เจอเจ้าเรือโบราณลำนี้จอดโดดเด่นเป็นสง่า เสียดายไม่มีเวลาถ่ายรูปเลย กดมาได้แค่ภาพเดียว
"รุ่ง รีบเดินได้แล้ว เดี๋ยวเรือก็ออกหรอก" แม่ตะโกนเตือนให้รีบเดิน
 เรือกำลังจะเคลื่อนตัวออกจากท่าค่ะ เรานั่งอยู่ไม่สุขกันเลยทีเดียว ไม่ถึง 1 นาทีก็มองหน้าโอ๋แล้วอ้อนขอออกไปนั่งด้านหลังเรือ เพราะว่าอยากถ่ายรูปเก็บบรรยากาศเต็มแก่
"ที่รัก เค้าขออนุญาตออกไปถ่ายรูปได้มั๊ย" เราบอกโอ๋พร้อมกับทำสายตาเว้าวอน
"นี่ ... นั่งอยู่กับแม่ก่อนสิ อะไรกัน เอะอะก็จะถ่ายรูปอย่างเดียวเลย" โอ๋ทำตาดุ
เราถึงกับคอตกเลยล่ะ 

เราสองคนเดินไปซื้อเครื่องดื่มมานั่งกินบนเรือกะแม่และฮีโร่ซัง ซักพัก โอ๋ก็สะกิดอนุญาตให้ออกมาถ่ายรูปด้านหลัง ^^ 
 เราปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยๆ ซักพักโอ๋ก็ตามมาดูวิวด้านหลังกันบ้า่ง 

วันนี้อากาศดีทีเดียวค่ะ เรือค่อยๆแล่นไปตามลำน้ำอย่างช้าๆ วันนี้มีนั่งท่องเที่ยวหลายสัญชาติมานั่งชมวิวพร้อมกะเรา 
 ตีกรามบ้านช่องในโตเกียวศิวิไลซ์น่าดูค่ะ แต่เขาก็ยังคงรักษาขนมธรรมเีนียมเก่าๆไ้ว้ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว
 นั่งเรือประมาณ 1 ชั่วโมงก็ใกล้ถึงปลายทางแล้วค่ะ 
 หอคอยที่สร้างใหม่ อีกไม่นานจะเปิดให้เข้าชมกันอย่างเป็นทางการแล้วนะคะ ใครที่ไปเที่ยวโตเกียวนอกจากจะไปหอคอยโตเกียวแล้วอย่าลืมแวะมาที่นี่กันด้วย จำชื่อได้แฮะ อันนี้ต้องขอประทานอภัย 
 สัญลักษณ์นี้หลายๆคนที่ชอบประเทศญี่ปุนต้องรู้แน่ว่า เป็นสัญญลักษณ์ของตึกเบียร์อาซาฮี ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามย่านอาซาคุสะ 
 เรือจอดเทียบท่าแล้วค่ะ เราทั้งสี่คนเดินออกมาจากเรือด้วยสีหน้าแช่มชื่น เราสองคนยกมือไหว้ขอบคุณฮีโร่ซัง ที่วันนี้ตั้งใจพาเราสองคนมาเที่ยวในแบบที่คนส่วนน้อยจะได้เที่ยวแบบนี้ เลยถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันนิดหน่อย
 เหลืบมองดูเวลาก็จะทุ่มแล้วค่ะ แม่บอกว่าต้องหาอะไรกินกันแล้ว เพราะฮีโรต้องกินยา เราสี่คนมุ่งหน้าออกไปยังย่านอาซาคุสะ เพื่อหาอะไรรองท้องก่อนกลับเข้าบ้าน 
 เราสี่คนเดินหาร้านอาหารอยู่นาน วนไปวนมาละแวกนั้นค่ะ แต่ตัดสินใจไม่ได้ซักทีว่าจะกินอะไร 
 ย่านอาซาคุสะยามค่ำคืน ก็สวยไม่เบาเลยนะคะ คราวหน้าถ้ามีโอกาสจะลองมาเที่ยววัดอาซาคุสะยามค่ำคืนดูบ้าง คงสวยน่าดู 
 เดินผ่านตึก Matsuya ซึ่งด้านล่างของตึกเป็นสถานที่ตั้งของสถานีรถไฟฟ้าที่จะไปนิกโก้ค่ะ เสียดายรอบนี้ไม่ได้ไปนิกโก้เพราะฝนตก แผนการเดินทางที่วางไว้ว่าจะไปนิกโก้ และ ฮาโกเน่เป็นอันต้องถูกยกเลิกกลางคัน  ครั้งหน้าต้องไม่พลาด ^^ 
 สุดท้ายก่อนกลับบ้าน เราทั้งสี่คนก็แวะกินข้าวหน้าเนื้อย่านอาซาคุสะ  ร้านนี้เป็นร้านแฟรนไชส์นะคะ รสชาดใช้ได้ค่ะ อร่อยดี แต่ก็สู้ราเมนที่เราไปกินกันก่อนหน้านี้ไม่ได้  เข้าหน้าเนื้อร้านนี้ก็เช่นกันค่ะ ต้องหยอดเหรียญสั่งจากตู้แล้วยื่นใบเสร็จไ้ว้รอพนักงานมาเสริฟ์เหมือนตู้หยอดเหรียญร้านอื่นๆ  
 กินเสร็จเป็นที่เรียบร้อย เราทั้งหมดออกเดินทางกลับบ้าน ระหว่างเดินทางเจอป้ายนี้ เราสะกิดโอ๋ให้ดูป้าย พร้อมกับคิดถึงน้องคนนึงทันที
"เฮ๊ยยุ่ง ดูป้ายที่อยู่ด้านหลังคุณตาคนนั้นดิ ยุ่งว่าเหมือนใครวะ" เราพูดพร้อมกับหัวเราะ
"เหมือนไอ้ต้องเลยว่ะที่รัก" โอ๋หัวเราะบ้าง
"นั่งดิ โคตรเหมือนเลย ป้อมๆอ้วนๆ"   5555 เราสองคนหัวเราะประสานเสียงกันอย่างสนุกสนาน

วันนี้สนุกกับการท่องเที่ยวบนภูเขาทาคาโอะ และ ล่องเรือชมวิวของแม่น้ำมากๆค่ะ ในรีวิวหน้ามาติดตามกันต่อว่าเราสองคนจะออกไปผจญภัยในโตเกียวกันที่ใด อย่าลืมติดตามนะคะ 



วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

++ Japan Trip ++ ได้เวลานั่งเคเบิลคาร์กลับโตเกียว

กลับมารีวิวต่อกันเลยนะค หลังจากที่เราได้เดินลงมาจากตัววัดแล้ว ทีนี้ก็มาแวะซื้อของฝากกันตรงจุดที่เราเดินผ่านตอนเช้าค่ะ ตรงจุดนี้จะีมีของมากมายหลายชนิดให้เราเลือกซื้อเลือกหาติดมือลงไปด้านล่าง สินค้าทุกชนิดมีป้ายราคาติดชัดเจน ไม่ว่าคนญี่ปุ่นหรือคนต่างชาติรับรองได้ว่า ได้ของราคาเดียวกันแน่นอน 
ได้ของเป็นที่ถูกใจกันเรียบร้อยแล้ว เราทั้งสี่คนเดินมุ่งหน้าไปยังจุดนั่งเคเบิลคาร์เพื่อลงไปด้านล่างนะคะ จะเห็นว่าใบไม้เริ่มมีสีแปลกจากสีเขียวบ้างแล้ว แต่ยังไม่ถึงกะเปลี่ยนสี ใครทีอยากมาเห็นใบไม้เปลี่ยนสีแนะนะมาช่วงประมาณกลางเดือน พย เป็นต้นไปเลยค่ะ รับรองได้เห็นเแน่ๆ ส่วนเราสองคนเลือกมาช่วงเดือน ตค เนื่องจากมีัวันหยุดด้วย เลยต้องมาเสี่ยงดวงกับใบไม้เปลี่ยนสี สุดท้ายไม่ได้เห็นค่ะ ปีหน้าจะมาอีกที 
"ยุ่ง ดูใบไม้ดิ ยังไม่เปลี่ยนสีเลย ถ้าเรามาช้ากว่านี้อีกนิดเราคงได้เจอแล้วล่ะ" เราพูดพร้อมกับชี้ไปที่ต้นไม้ด้านหน้า
"แต่มาช่วงนี้ก็ดีนะ เราได้ลางานแค่ 3 วันเอง ขืนมาช่วงอื่นมีหวังอดแน่ๆ" 
"เออ ก็จริงนะ กว่าจะลางานได้แทบแย่ อยากลางานแบบคนอื่นเค้าจริงๆเลย อยาได้ซัก 7-10 วันเลยอะ" เรายิ้ม
"พอกลับไปก็มีซองขาววางบนโต๊ะช่ายมะ" โอ๋หันมามองหน้า
"ก็คงงั้นแหละ" เอิ๊ก.... พนักงานออฟฟิศช่างลางานได้ยากเย็นเหลือเกิน ให้ตายเหอะ 
เดินไปตามทางเดินเรื่อยๆ จะมีจุดชมวิวของเมืองอยู่ด้านขวามือ เราสี่คนแวะชมวิวกันเล็กน้อย ก่อนจะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกค่ะ ขอบอกว่าวิวสวยจริงๆ นึกถึงวิวของเมืองเชียงใหม่ที่วัดพระธาตุดอยสุเทพกันเลยทีเดียว มุมคล้ายๆประมาณนั้นเลยค่ะ 
เมื่อเดินไปถึงจุดขึ้นเคเบิลคาร์ ฮีโร่ซังมอบตั๋วให้เราสองคนพร้อมกำชับว่าให้ระวังเวลานั่งเคเบิลคาร์ให้ดีๆ เพราะเคเบิลคาร์จะวนไปตามลำดับ ซึ่งในจุดปล่อยตัวนี้เราต้องเตรียมความพร้อมของร่างกายในการกระเด้งตัวขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ .... แต่ไม่ต้องตกใจนะคะ ซึ่งหากดูอย่างผิดเิผินเหมือนยากค่ะ เอาเข้าจริงๆง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปากซะอีก เพราะเวลาที่เคเบิลคาร์วนมา ก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลเราที่จุดขึ้น และมีเจ้าหน้าที่คอยจับถ่วงเก้าอี้นั่งให้อยู่ในระดับที่เรายืนด้วย ทำให้การนั่งของนักท่องเที่ยวปลอดภัยมายิ่งขึ้น 

ในที่สุดเราสองคนก็กระเด้งตูดขึ้นมานั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ ส่วนแม่กะฮีโร่ซังล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ดูแม่จะเป็นห่วงเราสองคนมากค่ะ หันมามองตลอดเลย ส่วนฮีโร่ซังก็ถ่ายภาพไว้ตลอดเช่นกัน 
ระยะเวลาในการนั่งเคเบิลคาร์ประมาณ 30 นาทีนะคะ เรื่องเวลาจำได้ไม่แน่ชัดค่ะ เพราะัมัวแต่ดูทิวทัศน์สองข้างทางตลอด 
"เป็นไงบ้างยุ่ง หายกลัวหรือยัง" เราถามโอ๋เนื่องจากโอ๋เกาะแขนแน่นมาก ทำให้การถ่ายรูปไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่
"กลัวอะ" โอ๋ตอบ
"จะกลัวอะไรเล๊า เค้ายังไม่กลัวเลย มันไม่หล่นลงไปข้างล่างหรอกน่าเชื่อเค้า" เรามองโอ๋ด้วยแววตาอ่อนโยน  โอ๋เริ่มคลายความกังวลได้บ้างแล้ว จึงหันมายิ้มสู้กล้องด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม 
เคเบิลคาร์ของทีนี่ความปลอดภัยสูงมากๆค่ะ ระหว่างทางที่เรานั่งลงไปก็จะมีคนที่นั่งกระเช้าขึ้นไปด้านบนเหมือนกัน 
ที่เห็นหลังคาสีขาวด้านหน้าเป็นสถานีปลายทางค่ะ อีกไม่กี่อึดใจเราก็จะสิ้นสุดการเดินทางแล้วนะคะ ก่อนขึ้นกระเช้าแม่ได้บอกแล้วว่าจะมีเจ้าหน้าที่บริการถ่ายรูปเป็นที่ระลึกให้เราด้วย ซึ่งพอใกล้จะถึงก็มีเจ้าหน้าที่คอยถ่ายรูปให้อย่างที่แม่บอกนะคะ เราสองคนทำตามที่เจ้าหน้าที่แจ้ง แล้วฉีกยิ้มรับกล้องถ่ายรูปที่ทำหน้าที่บันทึกภาพอย่างมีความสุข

เดินลงมาจากสถานีจะมีจุดขายภาพอยู่ค่ะ เจ้าหน้าที่จะโชว์ภาพให้เราดจากคอมพิวเตอร์ หากเราพอใจก็สามารถสั่งอัดได้เลยค่ะ ถ้าจำไม่ผิดราคาประมาณใบละ 700 เยนค่ะ ราคานี้จำไม่แม่นนะคะ หากราคาผิดพลาดประการใดก็ต้องขออภัยด้วยจ้า เรารับรูปจากแม่พร้อมแกะดูกันด้วยอาการลิงโลด รูปสวยทีเดียวค่ะ คุ้มๆๆๆ 
เดินลงมาถึงด้านล่างก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันซักหน่อยนะคะ ไม่แน่ใจว่าคนญี่ปุ่นเรียกว่าอะไร แต่เท่าที่สังเกตเห็น ใครลงมาก็เป็นต้องถ่ายล่ะค่ะ 
ใครที่พลาดซื้อของฝากจากข้างบนก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีอะไรติดมือลงมาค่ะ ด้านล่างก็ยังคงมีร้านขายของฝากอยู่เพียบเลย หากจำตอนที่เรานั่งกินโซบะได้ ก็จะเห็นว่าด้านซ้ายของร้านโซบะมีร้านขายของฝากอยู่เยอะทีเดียวค่ะ ดังนั้นหากลืมซื้อจากด้านบนก็สามารถลงมาหาซื้อที่ด้านล่างได้นะคะ 
ระหว่างทางที่เดินกลับไปที่สถานีรถไฟเื่พื่อมุ่้งหน้ากลับโตเกียว สองข้างทางก็จะมีร้านขายขนมอยู่เพียบเช่นเคย โอ๋ออกอาการอยากกินขนมเซ็มเบ้ จัดแจงเดินไปซื้อขนมกินเองซึ่งในตอนแรกก็ออกอาการเหวี่ยงเล็กน้อย เพราะไม่อยากเดินไปซื้อเอง แต่... เราเองก็ไม่ยอมตามใจเหมือนกันค่ะ ซื้อขนมง่ายๆเอง ต้องใจแข็งไม่ยอมไปซื้อให้ แล้วเป็นไง สุดท้ายก็ทำได้นะเรา เอิ๊ก เอิ๊ก...
อากาศที่นี่ดีมากๆ เราเดินกันมาค่อนข้างไกลค่ะ แต่ด้วยความที่สองข้างทางมันมีอะไรน่าสนใจกว่าความเหน็ดเราจึงเดินกันเพลิน เราหยุดถ่ายรูปแม่น้ำสายเล็กแห่งนี้ ก่อนจะมองออกไปอีกฟากฝั่งของถนนซึ่งก็คือบ้านเรือนของผู้คนที่นี่ ... ทำไมสายน้ำของคนที่นี่ไม่มีน้ำเน่า ไม่ขยะแม้แต่ชิ้นเดียวนะ ... ถ้าเป็นที่เมืองไทยอยู่ใกล้แม่น้ำขนาดนี้ไม่ต้องพูดถึงค่ะ นี่แหละค่ะความมีระเบียบวินัยของคนญี่ปุ่น ชอบมากๆ 
ใบไม้กำลังเตรียมตัวจะเปลี่ยนสี โอย..... น่าเสียดายจริงๆ 
เดินตามถนนมาเรื่อยๆก็มาถึงสถานีรถไฟแ้ล้วค่ะ ได้เวลาที่เราจะต้องกลับไปยังโตเกียวกันแล้ว เราทั้ง คนขึ้นมารอรถไฟด้านบน ประมาณ  10 นาทีรถไฟก็เดินทางมาถึงค่ะ 
เราใช้เวลาเดินทางกลัีบไปโตเีกียวประมาณ 2 ชั่วโมงเหมือนเดิมค่ะ งานนี้โชคดีที่เราได้นั่งตั้งแต่ต้นสาย ไม่อย่างนั้นคงต้องยืนขาแข็งแน่ๆเลย  ถึงโตเกียวแล้วฮีโร่ซังเตรียมเซอร์ไพรส์ด้วยการพาไปนั่งเรือชมบรรยากาศของโตเกียวยามเย็นค่ะ เดี๋ยวเจอกันในรีวิวหน้านะคะ
ปิดท้ายด้วยรูปถ่ายนั่งกระเช้าที่ทาคาโอะซังค่ะ อิอิ แอบหวานเล็กน้อย 

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

++ Japan Trip ++ เดินเที่ยวภายในวัด

ค่ะ... หลังจากที่เดินมากันจนเหนื่อย งานนี้ยังไม่ได้หยุดกันง่่ายๆนะคะ เราเดินกันมาเรื่อยๆจนใกล้จะถึงวัดเต็มทีแล้ว  ตั้งแต่เดินมาเราจะเห็นว่ามีป้ายแบบนี้อยู่เรียงรายเต็มไปหมด เราเลยถามทางฮีโร่ซังว่าป้ายที่เห็นคืออะไร ก็ได้ความประมาณว่า ป้ายที่เห็นนี้คือรายนามผู้บริจาคเงินให้ประมาณนี้ค่ะ 
ผู้คนที่เดินผ่านป้ายก็มักจะให้ความสนใจไม่ว่าจะเป็นชาวต่างประเทศหรือชาวญี่ปุ่นเอง เอาล่ะค่ะ อีกไม่ไกลเราจะถึงวัดกันแล้ว 
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงวัดกันแล้วค่ะ โอ๋ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกนิดหน่อย หลังจากนั้นแม่กับฮีโร่ซังขอตัวไม่เข้าไปในวัด โดยจะปล่อยให้เราสองคนเดินเที่ยวกันตามใจชอบ

"เดี๋ยวแม่กับฮีโร่จะรออยู่ข้างนอกนะ" แม่บอกเราสองคนให้รู้ตัว
"อ้าว ทำไมอะคะแม่" เราถาม
"ฮีโร่เค้าไม่เข้าวัดแบบนี้" แม่ตอบ
เอ... ไม่แน่ใจว่านับถือคนละนิกายหรือป่าว ถึงได้่ไม่ยอมเข้าไปในวัด หรือยังไงกันแน่นะ
"โอเคค่ะ งั้นเดี๋ยวรุ่งกะโอ๋ขออนุญาตเข้าไปข้างในก่อนละกันนะคะ" เรายิ้ม
"เออ อย่าเถลไถลให้มันนานนักล่ะ" แม่เตือน
"จ้าแม่ หนูจะไม่เถลไถลไปไหนไกล" โอ๋ยียวนกวนประสาทแม่ไม่เลิก
ที่ทางเข้าของวัดจะมีศาลเจ้าตั้งอยู่ทางด้านขวามือ เราสองคนพนมมือไหว้ก่อนเดินทางเข้าไปด้านใน
ผ่านประตูวัดเข้ามาก็มาเจอที่ชำระล้างความสะอาดค่ะ ลักษณะคล้ายกับที่ชำระล้างที่วัดอาซาคุสะเป๊ะ งานนี้เราไม่พลาดดื่มน้ำลงไปอีกแล้ว 5555++  ตักน้ำขึ้นมาล้างหน้า ล้างมือ แล้วเดินชมสิ่งปลูกสร้าอื่นๆภายในวัดกันต่อไป
"นี่ที่รัก อย่าลืมตัวเผลอกินน้ำเข้าไปอีกล่ะ" โอ๋พูดพร้อมกับหัวเราะร่วน
"เค้ารู้แล้ว แหมๆๆๆ ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ" เรามองหน้าโอ๋ด้วยสีหน้ายียวนบ้าง
"ขอให้จริง อย่าเผลอกลืนละกัน" โอ๋ยื่นกระบวยตักน้ำมาให้

ด้านขวามือของเราตอนนี้จะมีเทพหน้านก หรืออสูรกายหน้านกก็ไม่ทราบได้ค่ะ จำขนมหน้านกที่เรากินตอนอยู่ด้านล่างกันได้มั๊ยคะ น่าจะมาจากอสูรกายหน้านกนี่แหละค่ะ
ในส่วนนี้น่าจะเป็นการผูกคำขอต่างๆของคนที่มาเที่ยวที่วัดแห่งนี้ค่ะ
"ยุ่ง มาถ่ายรูปตรงนี้เร็ว แสงกำลังดีเลย" เราส่งเสียงเรียกโอ๋ให้เข้ามาถ่ายรูป โอ๋กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาโดยไม่รอรี
"มาแล้วจ้า" โอ๋ยิ้มหวานให้
"แหมๆๆ ทีเรื่องถ่ายรูปนี่ไม่มีชักช้าเลยนะยุ่งนะ" เราเริ่มกัดบ้าง
"ไม่ได้หรอก นานๆที่รักจะเรียกให้เค้าถ่ายรูป ปกติตัวเองน่ะ ชอบถ่ายรูปวิวนี่ เขอะ" แน่ะ ยังมีต่อท้ายค่ะ
"ตกลงจะถ่ายมั๊ย ถ้าไม่ถ่ายรูปจะได้ไปถ่ายอย่างอื่่น"
"ถ่ายสิ นะๆๆ ถ่ายให้เ้ค้านะ" ส่งเสียงแบบนี้อีกแล้วค่ะ ไอ้เราก็ใจอ่อนอีกตามเคย 5555+
โซนตรงกลางวันจะมีร้านขายเครื่องลาง ซึ่งเครื่องลางของญี่ปุ่นมีหลากหลายแบบเลยค่ะ ออกแบบมาได้เก๋มากๆ ราคาก็แพงเอาเรื่องอยู่นะคะ แต่ก็น่ารักสมราคาทีเดียว
เราเดินอ้อมไปโซนส่วนหลังของวัด แล้วเดินมาทางด้านหน้า วันนี้ผู้คนมาสักการะกันค่อนข้างเยอะทีเดียวค่ะ โอ๋สะกิดให้เราหยุดท่องเที่ยวภายในวัดและลงไปหาแม่ได้แล้ว แต่เรายืนยันว่ายังไม่ลง ถ้าโอ๋อยากลงก็ใ้ห้ลงไปก่อน
"ที่รัก ลงไปหาแม่กันมั๊ย เค้าว่าเราขึ้นมานานแล้วนะ" โอ๋ทำเสียงหงอยๆ
"โห ยุ่งอะ เค้ายังเดินไม่ทั่วเลยนะ" เราทำสีหน้าเง้างอดขึ้นมาบ้าง
"งั้นตัวเองถ่ายรูปไปก่อนละกัน เ้ค้าจะลงไปหาแม่แล้ว ไม่อยากให้แม่รอนานอะ" โอ๋บอกพลางเดินจากไป

นี่คือเหตุผลหนึ่งทีี่เราไปเที่ยวแล้วไม่อยากไปกะทัวร์ค่ะ เพราะรู้ตัวดีว่าเป็นคนชอบละเลียดอยู่กับการซึมซับบรรยากาศและการถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
เดินลึกเข้าไปอีกนิดค่ะ จะมีป้ายแขวนไว้แบบนี้ เดาว่าน่าจะเป็นการขอพรของคนที่นี่เช่นกันนะคะ
วันนี้อากาศไม่อ้าวมากค่ะ แต่่ฟ้าก็ไม่เปิดอย่างที่ใจต้องการ วัดที่นี่สวยมากๆค่ะ สร้างจากไม้แทบทั้งหมด รู้สึกประทับใจมากมายจริงๆค่ะ
แม่ลูกคู่นี้มาแอบทำบุญอยู่ตรงนี้ค่ะ ได้จังหวะพอดีเลย จึงถ่ายรูปเก็บไ้ว้ซะ 1 ใบ

ด้านในของวัดมีทางเดินลงมาจากด้านบนค่ะ ซึ่งจริงๆแล้วในส่วนที่เราอยู่ตรงนี้น่าจะเป็นบางส่วนของวัดมากกว่าเพราะมีคนเดินขึ้นบัดไดอีกทางหนึ่งและเดินลงมายังทางนี้ อยากขึ้นไปบ้างค่ะ แต่ข้อเท้าไม่เอื้ออำนวยจริงๆ เพิ่งผ่านการผ่าตัดมาไม่กี่เดือน ก็ออกมาซ่าถึงต่างประเทศแล้วเรา 5555++
เอาล่ะค่ะ เดี๋ยวขึ้นไปเดินดูด้านบนกันบ้างนะคะ ขอไหว้พระกวักควันเป็นสิริมงคลแป๊บนึงค่ะ

ด้านบนของวัดมีลักษณะเป็นแบบนี้ค่ะ ประตูยังคงไว้ในลักษณะเดิมๆ ได้ความรู้สึกของความเป็นญี่ปุ่นมากๆ  ชอบคนญี่ปุ่นหลายอย่างเลยค่ะ ทั้งเรื่องของความมีวินัย เรื่องของความสะอาด และที่สำคัญเขารักษาความเป็นตัวตนให้คงอยู่กับความก้าวหน้าของโลกได้อย่างแนบเนียนเลย

เดินลงมาด้านล่างของตัวอาคาร เจอแม่ ฮีโร่ซัง แล้วก็โอ๋ยืนรออยู่ด้านล่าง แปร่วววววววว รู้สึกผิดขึ้นมาทันใด

"ยุ่ง ทำไมเอาแม่ขึ้นมาตามด้วยอะ มาตามเองดีๆก็ได้" เราบ่นอุบ
"ก็แม่เค้าบอกว่าจะขึ้นมาเองอะ"
"โหย ทำแบบนี้รู้สึกผิดนะเนี่ย สงสัยแม่จะรอนานจนรอไม่ไหวเลยขึ้นมาตามซะ" สีหน้าของเราเริ่มซีดเผือก
"ก็ที่รักมัวแต่ถ่ายรูปอะ ไม่สนใจเค้าด้วย"
"เอ้า... ก็เราคุยกันแล้วนี่นา ตัวเองก็อนุญาตให้เค้าถ่ายรูปแล้วด้วย แล้วมาพูดแบบนี้ได้ยังไงอะ" เราเริ่มงง
"ก็ไม่รู้ล่ะ เอาเป็นว่าที่รักนั่นแหละที่ผิด" โอ๋ทำหน้าบึ้ง
เอ๋า... กลายเป็นว่างานนี้เราผิดซะแล้วสิคะ
บันไดที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี้คือบันไดที่ขึ้นไปยังตัววัดด้านบนค่ะ เสียดายที่ไม่ได้ขึ้นไปด้วยสองสาเหตุคือ 1. มาจากข้อเท้าของตัวเองที่ไม่ค่อยสมบูรณ์ และ 2. เกรงใจแม่กะฮีโร่ซังค่ะ เพราะเดี๋ยวเราจะไปนั่งเรือชมวิวกันต่อค่ะ

"เอ้า กลับได้แล้วเรา" แม่ส่งเสียงเืตือนสติ "เดี๋ยวเจ้าฮีโร่เค้าจะพาไปนั่งเรือต่อ"
"จริงเหรอคะแม่ แล้วไปนั่งที่ไหนอะคะ" เราถามด้วยอาการลิงโลด
"นั่งเรือชมวิวแล้วไปขึ้นที่ท่าอาซาคุสะนู่นเลย" แม่ตอบคำถาม
เราหันหน้ามามองโอ๋แล้วยิ้มพร้อมกัน
"งั้นโอเคเลยแม่ เดี๋ยวเราไปนั่งเืรือกันต่อได้เลย" โอ๋ตอบ
ออกจากตัววัดมาได้ไม่ไกล ดูลูกสาวแม่จ้องเองละกันค่ะ ว่าทะเล้นขนาดไหน  สาเหตุที่ทำหน้าแบบนี้ก็เพราะถูกแม่บ่นนั่นแหละค่ะ  5555++

ในรีวิวหน้าเราจะไปพบกันที่่ท่่าเรือนะคะ ได้เวลานั่งชมวิวของเมืองโตเกียวกันแล้วจ้า