วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

++ Japan Trip ++ การเดินทางได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

วันที่ 19 ตค 2554 มีนัดไปสนามบินตอน 3 ทุ่ม ประมาณ 2 ทุ่มครึ่งเราสองคนเตรียมตัวเก็บข้าวของและเช็คสัมภาระในการเดินทางเป็นครั้งสุดท้ายก่อนปิดประตูบ้านออกเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ เราลากกระเป๋าเดินทางเข้าลิฟต์และกดหมายเลข 1 เพียงไม่กี่อึดใจลิฟต์ก็พากเราสองคนมาอยู่ยังชั้นล่างสุดของคอนโด 

"พี่ๆ ช่วยเรียกแท๊กซี่ให้หน่อยค่ะ" เราเปล่งเสียงออกไปให้กับ รปภ ประจำตึกวอเรียกรถแท๊กซี่ที่หน้าคอนโด  "ได้ครับเดี๋ยวเรียกให้" หลังสิ้นเสียง รปภ ก็ส่งสัญญานไปยัง รปภ ส่วนหน้าให้ช่วยหาแท๊กซี่ให้เราสองคน "จะไปไหนกันครับเนี่ย" รปภ ถามหลังจากช่วยเรียกแท๊กซี่ให้เรา  "อ๋อ จะไปญี่ปุ่นค่ะ พอดีเดือนนี้มีหยุดยาว 3 วัน" เราตอบพร้อมกับยิ้มให้กับพี่ รปภ  "เที่ยวให้สนุกนะครับ" พี่ รปภ ยิ้มให้  หลังจากนั้นรถแท๊กซี่ก็เคลื่อนตัวเข้ามาจอดด้านหน้าคอนโด พี่รปภ ช่วยยกกระเป๋าไปไว้ด้านหน้าคนขับพร้อมกับยิ้มให้เราเป็นการอำลากันชั่วระยะหนึ่ง เรายิ้มตอบ ...

"พี่ๆไปสุวรรณภูมิ ขาออกต่างประเทศนะ"  คนขยับพยักหน้าและพาร่างของเราทั้งสองมุ่งหน้าไปยังสนามบินทันที  เพียงระยะเวลา 30 กว่านาที เราก็มาถึงสนามบินโดยปลอดภัย หลังจากจ่ายตังค์เสร็จแล้วเราสองคนก็เดินเข้ามายังด้านในตัวอาคารพร้อมกับมาดูที่บอร์ดว่าเที่ยวบินของเราเปิดให้บริการ check in หรือยัง ... ข่าวร้ายเคาน์เตอร์ยังไม่เปิดบริการเลย ..."ป๊าดดดดด...ต้องรออีก 30 นาทีเลยรึนี่" เราบ่นพึมพำ

บ่นเสร็จเราสองคนก็หาที่นั่งละแวกนั้นละค่ะ ระหว่างรอเคาน์เตอร์เปิดก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย เล่นโทรศัพท์บ้าง โทรกลับบ้านบ้าง 
"หิวป่าว หาอะไรรองท้องก่อนมั๊ย" เราเอ่ยปากถามคนข้าง
"ไม่หิวอะ" น้ำเสียงตอบมาอย่างเรียบเฉย
"รออีกแป๊บนึงนะ เดี๋ยวเคาน์เตอร์ก็น่าจะเปิดแล้วล่ะ"
ในที่สุดเคาน์เตอร์ก็เปิดให้บริการแล้ว เย้ๆ... เราสองคนเดินเข้าไป check ด้านในเพื่อรับบอร์ดดิ้งพาสและโหลดกระเป๋าลากซึ่งเราติดตัวไปคนละใบเท่านั้น เพราะคาดว่าขากลับมันจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน 

ได้ตั๋วมาแล้วก็เดินมาแลกเงินกันก่อนค่ะ วันนี้ค่าเงินเยนอยู่ที่ 40 บาทต่อ 100 เยน โอ้แม่เจ้า แข็งน่าดูชม จัดการแลกไป 10,000 บาท ที่เหลือค่อยไปแลกที่นู่นอีกที...เยนแข็งแทบลมจับเลยเรา หลังจากนั้นเข้ามาในส่วนของการตรวจหนังสือเดินทางค่ะ เข้ามากรอกเอกสารขาออกให้เรียบร้อย เสร็จสรรพก็เข้าแถวเพื่อตรวจเอกสารค่ะ เจ้าหน้าที่จะรอตรวจเอกสารของเราทั้งหมด หลังจากนั้นจะทำการถ่ายรูปเก็บประวัติเล็กน้อยซึ่งตรงนี้จะใช้เวลาประมาณ 2-3 นาทีผ่านจุดนี้ไปได้ก็จะพบกับแดนสวรรค์ของนักช้อปทั้งหลาย สิ่งนั้นก็คือ duty free นั่นเองค่ะ สำหรับคนข้างๆแล้วคนชอบใจไม่น้อย แต่สำหรับเราเองเฉยๆ เพราะไม่ชอบช้อปเลย เวลาไปเดินห้างด้วยกันก็แทบจะขอนั่งรอให้ร้านกาแฟ แต่ไม่ได้เข้าไปกินกาแฟหรอกนะคะ เข้าไปกินโกโก้เย็นไม่ปั่นค่ะ เป็นคนไม่ชอบกาแฟเอาซะเลย ได้กลิ่นทีไรพาลจะปวดหัวเป็นลม...



ด้านในก็จะขายของสารพัดสิ่งซึ่งราคาถูกกว่าข้างนอก ก็แน่ล่ะค่ะมันปลอดภาษีนี่นา สินค้าในนี้มีตั้งแต่ขนม ของฝาก เสื้อผ้า แว่นตา นาฬิกา กล้อง น้ำหอม เครื่องสำอางค์ ใครชอบแบบไหนก็แวะดูได้เลยค่ะ ^_^ โซนดิวตี้ฟรีค่อนข้างยาวเหมือนกันค่ะ เดินเพลินเลยเชียว... หลุดออกมาจากโซนดิวตี้ฟรีแล้วทีนี้ยิงยาวเลยค่ะ เดินไปที่เกทแบบว่าเมื่อยสุดๆ คนสร้างก็สร้างได้ใจจริงๆ เดินกันเมื่อยเลยล่ะงานนี้ ก่อนจะเดินลงไปที่เกทด้านล่าง เราแวะนั่งดูทีวีกันก่อนค่ะ บังเอิญคนข้างๆติดละคร เดี๋ยวซัก 5 ทุ่มกว่าๆค่อยเดินลงไป อิอิ ^_^ 


อย่างที่เกริ่นไปตั้งแต่ตอนแรกว่าทริปนี้เราเดินทางกันสองคน มาถึงตรงนี้แล้วหลายๆคนอาจสงสัยในความสัมพันธ์ของเราค่ะว่าเป็นเพื่อน พี่น้อง หรือ????  นั่นแหละค่ะ อย่างที่ทุกคนสงสัยนั่นแหละค่ะ เราสองคนเป็นแฟนกันค่ะ เจ้าของ blog คือคนด้านซ้าย ส่วนคนด้านขวาเสื้อสีเขียวคือคนข้างๆ เราไม่มีอะไรคล้ายกันมากนัก แต่ชีวิตคู่ของเราค่อนข้างลงตัวดีที่เดียวค่ะ เอาเป็นว่าพักเรื่องส่วนตัวไว้แค่นี้ก่อน เพราะอีกไม่กี่อึดใจเราต้องไปขึ้นเครื่องกันแล้วล่ะ...

วันนี้ผู้โดยสารของการบินไทยที่มุ่้งหน้าไปยังโตเกียว ปลายทางคือสนามบินนาิริตะค่อนข้างเยอะพอสมควรค่ะ คาดว่าเที่ยวบินนี้น่าจะเต็มอย่างแน่นอน เราทั้งคู่เลือกเดินทางช่วง 19-25 ตค ด้วยสาเหตุที่ว่ามีวันหยุดติดต่อกัน 3 วัน และไปช่วงนี้ถ้าไม่ผิดพลาด น่าจะเจอใบไม้เปลี่ยนสีที่นิกโก้บ้าง  เสียงของเจ้าหน้าที่เริ่มเรียกให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องแล้วค่ะ เราเดินไปเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวกันเล็กน้อย หลังจากนี้ต้องเดินไปรวมตัวกับผู้โดยสารคนอื่นๆแล้วจ้า  ก่อนขึ้นเครื่องไม่วายจะต้องโทรรายงานตัวกับแม่ก่อนเพื่อเป็นการยืนยันว่าเราำกำลังจะเดินทางไปหาแม่กันแล้วค่ะ ^_^
................................................................................................................................

ไม่นานนักเครื่องบินของสายการบินไทยก็พาเราทั้งสองคนเหิรฟ้าขึ้นเหนือน่านฟ้าของแผ่นดินไทย มุ่งหน้าไปยังสนามบินนาริตะ เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น การเดินทางในครั้งนี้เราใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง เรานั่งคุยกันซักครู่คนข้างๆ ก็เอนหัวมาซบไหล่นอนหลับปุ๋ยไปซะงั้น ตอนนี้ได้เวลาที่เราต้องอยู่ลำพังกับตัวเองแล้ว เรานั่งคิดถึงแผนการที่เราได้เตรียมมาจาก กทม ทั้งหมด การเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยว อาหารการกิน และอื่นๆ คิดไปก็บ่นตัวเอง "โอยยย ปวดหัวว่ะ จะคิดอะไรมากมายวะเนี่ย อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดละกัน" สิ้นความคิดเรายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู เวลาที่แสดงบนหน้าปัดคือตีสองกว่าๆ "อืม นอนก่อนดีว่า พรุ่งนี้่ค่อยว่ากัน" คืนนี้เรานอนหลับบนท้องฟ้าแต่ไม่รู้ว่าอยู่น่านฟ้าของประเทศไหน ไม่เป็นไรคืนนี้เก็บแรงไว้ก่อนละกัน 

กี่โมงแล้วก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าแสงของท้องฟ้ามันแยงตาสุดๆ เราลืมตาขึ้นมาก็เจอท้องฟ้าแบบนี้ค่ะ อันดับแรกรีบคว้ากล้องที่อยู่ในกระเป่าออกมาเก็บภาพท้องฟ้าที่สวยงามไว้ก่อน หลังจากนั้นยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู อ๊ะ "ตี 4 เองเหรอเนี่ย ทำไมท้องฟ้ามันสว่างได้มากแบบนี้นะ"  อ่อ ...รู้ละยังไม่ได้ปรับนาฬิกาให้เป็นเวลาที่ญี่ปุ่นนั่นเอง  ที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าเรา 2 ชั่วโมง ดังนั้นตอนนี้ก็คง 6 โมงเช้าแล้วสินะ ... เราจัดการปรับเวลาให้เป็นเวลาของเมืองโตเกียวประเทศญี่ปุ่น หลังจากนั้นก็นอนไม่หลับตลอด รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งต่างๆที่รอคอยให้เราไปสัมผัส พลางเหลือบไปมองคนข้างๆ ซึ่งตอนนี้หลับปุ๋ยเหมือนเด็กกำลังนอนหลับ

เจ้าหน้าที่ของการบินไทยเริ่มเดินขวักไขว่บนเครื่องแล้ว แสดงว่าอีกไม่นานนักเราจะเริ่มเข้าใกล้ญี่ปุ่นแล้ว เราเือื้อมมือไปสะกิดคนข้างๆให้ตื่นนอน พร้อมกระซิบข้างหูว่า "ยุ่ง ตื่นได้แล้วนะ อย่ามัวแต่ี้ขี้เซา มาดูท้องฟ้าสวยๆกัน"  ยุ่งที่เราเรียกจนติดปาก มีชื่อเล่นๆว่า" โอ๋" แต่เรามันจะเรียกโอ๋สารพัดชื่อไม่ว่าจะเป็นยุ่ง เหี่ยว แม่หมู ที่รัก ซึ่งชื่อที่เรียกจนติดปากก็คือ "ยุ่ง" นี่แหละค่ะ โอ๋ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ พร้อมกับยีตาเพราะแสงของท้องฟ้าแยงตาซะเหลือเกิน "รู้หรือป่าวว่ากี่โมงแล้ว ตอนนี้ที่เมืองไทยตี 4 กว่าๆเองนะ ตื่นได้แล้วนะ เดี๋ยวเค้าน่าจะมีผ้าอุ่นมาให้เช็ดหน้าแล้ว" โอ๋ยังคงงัวเงียเอาหน้ามาซบไหล่ " นี่ๆๆ ขี้เซาแบบนี้ไม่ได้นะ กระฉับกระเฉงหน่อยดิ" โอ๋มองค้อนนิดๆ แล้วบอกว่า "ที่รักอะ ก็เค้าง่วงนี่นา" ... ค้อนและงอนนิดๆ แต่ก็ยอมตื่นแต่โดยดีละค่ะ 


อ้อ ลืมบอกไปโอ๋เป็นคนแบบว่าอนามัยจัดมากๆ พอเค้าตื่นนอนมาปุ๊บสิ่งแรกที่เค้าทำคือหยิบน้ำยาบ้วนปากออกมาให้เราไปบ้วนปากในห้องน้ำค่ะ "เฮ๊ย อะไรเนี่ย" เราอุทานออกมาด้วยความตกใจ "ก็น้ำยาบ้วนปากน่ะสิ เมื่อคืนไม่ได้แปรงฟัน เช้านี้ไม่ได้แปรงฟัน ยังจะไม่บ้วนปากอีกเหรอไอ่หมู"  นั่นสิคะคำเรียกขานในตัวกันและกันก็ได้หลุดออกมาอีกแล้ว "ไอ่หมู" เป็นชื่อที่โอ๋เอาไว้เรียกเรา หรือชื่อที่ใครเรียกกันติดปากว่า "รุ่ง"  เหตุที่ได้ชื่อนี้มาก็เพราะตอนนี้หุ่นที่เคยผอมเพรียวและเท่ไม่หยอกนั้น มันเริ่มมีน้ำหนักเกินขึ้นมาจากเดิมถึง 6 กก.แล้วค่ะ ชื่อ "ไอ่หมู" จึงเป็นชื่อที่โอ๋เรียกจนติดปากมาถึงทุกวันนี้ ....

หลังจากทำธุระในห้องน้ำเสร็จแล้ว (รวมถึงเอาน้ำยาบ้วนปากไปบ้วนในห้องน้ำด้วยนะคะ เฮ่อ...) ทางพนักงานก็มีรถเสบียงมาเกยแล้วค่ะ ก่อนลงไปเยือนแดนปลาดิบเราสองคนขอทานอาหารก่อนนะคะ 


อาหารเช้าวันนี้มีชุดออมเลท และชุดข้าวต้มกุ้ง รสชาดอาหารก็กลางๆตามสไตล์การบินไทยค่ะ แต่ความสะอาดและความสดของอาหารถือว่าใช้ได้เลยทีเดียวค่ะ เราแลกกันชิมอาหารของกันอย่างสนุกสนาน จนคนข้างๆอาจเกิดความหมั่นไส้เล็กน้อย เอาค่ะ ...ไม่เป็นไร ใครอยากหมั่นไส้ใครอยากทำอะไรก็ไม่ว่ากัน อิอิ นั่งทานข้าวไปมองวิวด้านนอกไปอะไรมันจะปานนั้นคะเนี่ย 
"ข้าวต้มอร่อยป่าวอะยุ่ง" เราถามโอ๋ถึงรสชาดอาหาร
"ก็อร่อยดีอะ แต่เค้าว่ามันจืดไปหน่อย" ไม่จืดได้ไงคะ ขานี้กินเค็มสุดๆ "แล้วของหมูล่ะ เป็นไงบ้า่ง" 
"อร่อยดีอะ ไส้กรอกก็โอ ไข่ก็โอ อะไรๆก็โอ ยกเว้นมะเขือเทศ" 
"งั้นเอามะเขือเทศมา เค้ากินเอง" สิ้นเสียงโอ๋เอื้อมมือมาจิ้มมะเขือเทศในถาดของเราเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย 


หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนค่ะ แต่...ยังหย่อนไม่ได้เพราะต้องนั่งกรอกเอกสารเข้าเมืองก่อนค่ะ เอกสารมีอยู่ 2 ใบ 1. ใบเข้าเมือง ก็กรอกตามปกติค่ะ  2.ใบของกรมศุลกากร เรานั่งกรอกเอกสารเข้าเมืองด้วยใจจดจ่อ.. บอกตรงๆกลัวกรอกผิดค่ะ แต่ด้วยการเตรียมตัวที่ดีของเรา เราหยิบเอกสารตัวอย่างที่เตรียมมาวางบนตักและกรอกตามอย่างไม่ลังเล สำหรับมือใหม่จะใ้ช้วิธีนี้ก็ไม่ว่ากันนะคะ กรอกเอกสารเสร็จแล้วก็เก็บไว้ในกระเป๋าอย่างเดิม ใช้อีกทีก็ตอนถึงสนามบินล่ะค่ะ 


เสียงกัปตันดังมาแต่ไกลแล้วค่ะ ขออนุญาตปรับพนักเก้าอี้และรัดเข็มขัดให้เรียบร้อยก่อนนะคะ อีกไมกี่นาทีข้างหน้านี้เราจะถึงสนามบินนาริตะ เมืองโตเกียวกันแล้วค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น