วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

++ Japan Trip ++ ร้านราเมนที่คามาตะ...อร่อยโฮก..

หลังจากที่ออกมาจาก akihabara เราสองคนนั่ง yamanote ไปลงที่ shinagawa และต่อเจ้า keihin tohoku ไปยังคามาตะอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้สังเกตุเห็นว่าสาย keihin วิ่งเข้าไปในเมืองเช่นกันค่ะ โดยผ่านสถานี akihabara และ ueno ด้วย .... เรามัวแต่ไปต่อรถเพราะยังเรียนรู้สายรถไฟไม่เก่งเลยฝากชีวิตไว้กับ yamanote ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ yamanote ก็ช่วยให้เราไม่หลงได้เยอะเลยค่ะ เพราะว่ารถไฟวิ่งเป็นวงกลม 

ใช้เวลาไม่นานนักเราทั้งสองก็มาถึงคามาตะค่ะ ตอนออกจากห้างที่เป็นที่ตั้งของสถานีคามาตะเกิดอาการหลงทิศเล็กน้อย ทำให้เดินออกไปอีกด้านหนึ่งของห้างซึ่งอยู่ตรงข้ามกับที่แม่อยู่ เดือดร้อนต้องให้เดินมารับ 
"ยุ่ง โทรหาแม่ซิ สงสัยเราจะออกมาอีกด้านหนึ่งของห้างแน่ๆ ตอนที่ป้าอ๊อดพาออกมาจากห้างเมื่อวานก็ไม่ทันสังเกตุว่าป้าอ๊อดเดินไปทางไหน" เราบอก หลังจากนั้นโอ๋เดินไปหยอดเหรียญที่ตู้โทรศัพท์เพื่อสอบถามเส้นทางแม่ ปลายสายบอกให้คอยอยู่ตรงนั้น รอไม่นานนักร่างเท่ห์ๆของแม่ก็เดินปรี่เข้ามาหาเราสองคน แม่ยิ้มพร้อมกับทักทาย

"ไปไหนกันมาล่ะ" 
"วันนี้ไปวัดอาซาคุสะ ตลาดที่อุเอโนะ แล้วก็อากิฮาบาระค่ะแม่" เราตอบเสียงใส
"แล้วกินอะไรกันมาหรือยัง" แม่ถามพร้อมกับหันหน้าไปมองโอ๋ด้วยความเป็นห่วง
"ยังเลย หนูไม่รู้จะกินอะไรแม่"
"เอ้า.. ก็หากินสิโตแล้วนะ จะกินบนห้างมั๊ยเดี๋ยวจะพาไปดูว่ามีอะไรบ้าง" แม่ตอบพลางเดินนำหน้าไป

เจ้าห้างที่่ว่านี้ก็คือห้างที่มีสถานีคามาตะตั้งอยู่นั่นแหละค่ะ เสียดายจำชื่อห้างไม่ได้ แม่พาเดินเข้ามายืนอยู่ที่หน้าลิฟต์ และชี้แจงว่าร้านอาหารอยู่ตรงไหนบ้างขึ้นลิฟต์ไปได้เลย
"แล้วแม่ทานอะไรหรือยังคะ" เราถาม
"ยังไม่ได้ทาน แม่ยังไม่หิว เราสองคนไปหาอะไรกินกันก่อนเหอะ" แม่ตอบ
"อ้าว หนูก็นึกว่าแม่จะไปด้วยกัน มัวแต่เล่นปาจิงโกะอยู่นั่นแหละ" โอ๋ค่อนขอด
"เฮ๊ย ไอ้โอ๋... แล้วยังไง" บลา บลา บลา

โอยยยย แม่ลูกสองคนนี้เค้าอยู่ใกล้กันไม่ค่อยได้ค่ะ มีเถียงกันตลอด เราเลยตัดบทโอ๋พร้อมกับลาแม่ขึ้นไปหาอะไรกินด้านบน 

ร้านอาหารของที่นี่จะอยู่ด้านบนค่ะ มีอยู่ประมาณ 2-3 ชั้นได้ เราเลือกขึ้นไปที่ชั้น 8 (จำได้ลางๆ อิอิ) ร้านอาหารด้านบนลักษณะคล้ายๆฟูจิ เซน บ้านเราอะค่ะ หน้า้ร้านก็ประมาณนี้เลย อาหารแต่ละอย่างน่าทานทั้งนั้นและราคาก็แบบว่า...อื้ม 1000 เยนอัพทั้งนั้น
"กินอะไรดี" เป็นคำถามที่เรามักจะถามโอ๋เสมอๆ
"อะไรก็ได้" เป็นคำตอบที่โอ๋มักจะตอบเราทุกครั้งเช่นกัน
"งั้นกินเนื้อย่างมะ" 
"ไม่เอาอะแพง"
"งั้นกินข้าวหน้าเนื้อมะ"
"ไม่เอาอะไม่อยากกิน"
"เฮ๊ย แล้วบอกกูว่ากินอะำไรก็ได้" เราเริ่มโมโห ไม่โมโหได้ยังไงคะ วันนี้เดินเที่ยวมาทั้งวันถึงเวลาหิวคุณนายเธอก็ดันมาเรื่องมากอีก เฮ่อออออ.... 
"ถ้าข้างบนไม่ถูกใจก็ลงไปหากินข้างล่างละกัน" เราพูดพร้อมกับเดินไปยังหน้าลิฟต์ 
เดินหาร้านอาหารด้านบนหนึ่งรอบแล้วค่ะแต่ยังหาร้านที่โอ๋อยากกินไม่ได้ซักที เราก็เริ่มหงุดหงิดแล้วค่ะนาทีนี้ "แม่ง...ทำอะไรก็ไม่ถูกใจ ห่าเอ๊ย"... แอบด่าในใจเล็กน้อยค่ะ หงุดหงิดมากมาย ลงมาถึงด้านล่างหันมามองหน้าโอ๋ ก็พบว่าหน้างอ... เราเริ่มเปลี่ยนอารมณ์เพื่อไม่ให้บรรยากาศเสียมากไปกว่านี้

"ยุ่ง จะกินอะไรล่ะ" เราถามเนื่องจากสีหน้าของโอ๋มันสะกิดต่อมโมโหเหลือเกิน
"ไม่ต้องตอบว่าอะไรก็ได้นะ เพราะไอ้ที่ผ่านๆมาก็ไม่ได้กิน (แม่ง) ซักกะอย่าง" เราพูดต่อ
"ก็เมื่อกี้ที่รักพูดเองว่าจะพาไปกินราเมนร้อนๆ ตัวเองบอกอยากกินอะไรร้อนๆ แต่ขึ้นไปข้างบนมีแต่อะไรก็ไม่รู้ เค้าไม่อยากกินนี่ ก็สัญญาเองว่าจะพาไปกินราเมนอะ แล้วก็พาไปดูนั่นดูนี่อยู่ได้" โอ๋พูดพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า ....เอาละค่ะ งานเข้าล่ะทีนี้ จากบทโหดที่เล่นมาก่อนหน้าตอนนี้บทนั้นคงใช้ไม่ได้อีกต่อไป ปรับแผนเปลี่ยนทับรับมือกับโอ๋แทบไม่ทัน
"อ้าวเหรอ... เค้าพูดแบบนั้นเหรอ โอเค -ขอโทษ- งั้นเดี๋ยวเราเดินไปาร้านราเมนกันนะ เค้าเห็นมีอยู่ฝั่งโน้นเยอะเลย" เราพูดพร้อมกับโอบร่างของโอ๋เข้ามาใกล้ๆ
"แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรก ไม่งั้นได้กินไปนานละ เวนเอ๊ย" เราบ่นอยู่ในใจ 

เดินข้ามถนนมามีร้านราเมนอยู่ร้านหนึ่งค่อนข้างน่าสนใจทีเดียวค่ะ มีโปรโมชั่นหลากหลายทีเดียว เราสองคนเดินเข้าไปด้านใน พนักงานกล่าวทักทายพร้อมกับนำเมนูมาวางให้ ...ดูเมนูแล้วน่ากินหลายอย่าง งานนี้อ่านไ่ม่ออกซักกาตัว ไม่มีภาษาอังกฤษโผล่มาทักทายแม้แต่น้อย เราสองคนใ้ช้วิธีชี้ไปที่รูปเท่านั้น พนักงานพูดอะไรมาเราก็ hi hi ตลอด 555++
เห็นราเมนเป็นไม่ได้ อารมณ์ดีขึ้นมาถนัดตาเลยเชียวผู้หญิงคนนี้ ><" เฮ้อ..  เราสั่งอาหารไปทั้งหมด 4 อย่างค่ะ เดี๋ยวมาดูกันว่าแต่ละอย่างหน้าตาเป็นอย่างไร และที่สำคัญรสชาดจะถูกปากเราไหม ^______^  

บรรยากาศในร้านคล้ายๆฮะจิบังราเมนบ้านเราเลยค่ะ 
ระหว่างนั่งรอราเมนที่สั่งเราเปิดบทสนทนากะโอ๋เล็กน้อย
"วันนี้สนุกมั๊ย" เราถามพร้อมส่งรอยยิ้มไปให้โอ๋
"สนุก แล้วก็ชอบมากด้วย ขอบคุณที่รักมากๆเลย ที่พาเค้าเที่ยว" โอ๋พูดพลางยิ้มตอบ
"เสียดายที่ร้านขายของมือสองกระเป๋าไ่ม่ค่อยโอนะเค้าว่า"
"มันไม่ค่อยโอจริงๆแหละ มีตำหนิเยอะไปหน่อย" โอ๋เริ่มสำทับ

โอยยยยยย โล่งอกมากค่ะที่กระเป๋าแบรนด์เนมในร้านนั้นไม่ถูกใจโอ๋ คริ คริ ... ไม่งั้นได้เสียตังค์เป็นแน่แท้ การสนทนาของเราถูกขัดจังหวะด้วยกลิ่นหอมๆของน้ำซุปที่ถูกยกมาวางตรงหน้า 

ราเมนชามนี้ประกอบไปด้วยน้ำซุปกระดูกหมู วุ้นเส้น หน่อไม้จีน เนื้อหมู ไข่ต้ม สาหร่ายอบ สาหร่ายสดและต้นหอมญี่ปุ่น รสชาดกลมกล่อมสุดๆ น้ำซุปหอมแตะจมูกตั้งแต่ยกมา ซดน้ำซุปร้อนๆเข้าปากก็พบว่าน้ำซุปมันนัวๆและมีกลิ่นหอมๆของน้ำมันงาดันขึ้นมาในจมูกเลยล่ะ ... วุ้นเ้ส้นเหนียวนุ่ม แม้จะถูกวางลงในน้ำซุปร้อนๆแต่เส้นไม่อืด ยังคงรักษาความเหนียวนุ่มไว้ได้ตลอด ให้คะแนนเต็ม 10 ค่ะ 
ผักผัก ประกอบไปด้วยถั่วงอก แครอท ต้นหอมและตับ น่าจะผัดด้วยน้ำมันงาบนไฟร้อนๆ เพราะผักยังคงความกรอบไว้ ตับก็ไม่แข็งค่ะ นุ่มกำลังดีเชียว กลิ่นน้ำมันงาหอมตลบอบอวนในปาก ... อูียยยย อร่อย...
ถ่ายรูปเสร็จโอ๋คว้าพริกไทยเขย่าลงไปในผัดผักแบบไม่ยั้งมือ เรามองโอ๋
"เฮ๊ย..ใจคอจะไม่ชิมรสชาด  original ของเค้าเลยเหรอเนี่ย ใส่ไม่ยั้งเลยอะ" 
"ลืม..." เป็นคำตอบของโอ๋ที่ตอบกลับมา
"เฮ่ย.... เซ็งเลย"
ชามนี้ออกสไตล์มิโสะซุป ส่วนนประกอบก็เป็นเส้นบะหมี่สี่เหลือง แครอท ถั่วงอก ต้นหอม หมูสับ หอมใหญ่..รสชาดกลมกล่อมกำลังดี มีกลิ่นหอมของมิโซะอยู่ในปาก เส้นนุ่ม เหนียว ไม่เละ ถั่วงอกกรอบหวาน หมูสับไม่แข็ง รสชาดนุ่มลิ้น น้ำซุปซดได้คล่องคอตลอดเวลา ไม่เหมือนบ้านเรา สั่งมิโสะซุป ยิ่งซดยิ่งเค็ม ><" 
จานสุดท้าย เกี๊ยวซ่าแสนอร่อย แป้งบางกรอบ เนื้อหมูสับที่อยู่ด้านในนุ่มสุดยอด ส่วนผสมของหมูสับน่าจะมีต้นหอมด้วย เราบรรจงกัดเกี๊ยวซ่าลงไป น้ำซุปที่อยู่ในเกี๊ยวซ่าแตกกระจายในปาก กลิ่นต้นหอมที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้เผยออกมาให้เราได้สัมผัสกลิ่นหอมอ่อนๆที่ลอยอยู่ในปาก ออกแนวเกี๊ยวซ่าของ ฮะจิบังราเมนที่เมืองไทย แต่ของที่นี่อร่อยกว่าค่ะ 
ราเมนของที่นี่ให้เยอะมากค่ะ กินไม่หมดอีกตามเคย หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว เราสองคนโทรหาแม่อีกครั้งก่อนที่แม่จะพาไปเดินดูของที่ห้างแห่งหนึ่งย่านคามาตะ หลังจากนั้นขอตัวแม่นั่งรถเมล์กลับบ้านค่ะ ก่อนเข้าบ้านแวะ 7-11 ใช้ passmo ซื้อของในร้านเล็กน้อย เจอโค๊กกระป๋องยักษ์เลยซื้อมากินที่บ้าน 
ในรีวิวหน้ามาติดตามดูกันว่า เราจะออกเดินทางไปดูใบไม้เปลี่ยนสีที่นิกโก้กันได้อย่างไร อย่าลืมติดตามค่ะ

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

++ Japan Trip ++ เที่ยวย่านอุเอโนะ บุกตลาด AMEYAYOKOCHO

หายไปนานค่ะ ช่วงนี้งานเยอะสุดๆ ในบริษัทกำลังจะเปลี่ยน organization ค่ะ เลยต้องนั่งปรับตัวและทำใจเล็กน้อย รอรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง... ชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นกันไป

เรานั่งรถไฟใต้ดินจากสถานทีอาซาคุสะ มาลงที่สถานีอุเอโนะ เมื่อถึงอุเอโนะแล้ว เราเดินออกมาตามช่องทางที่จะไปสวนสาธารณะอุเอโนะค่ะ ซึ่งด้านหน้าของเรานั้นคือสวนสาธารณะที่ใหญ่ของย่านนี้ ซึ่งใกล้ๆกับทางเข้ามีสถานีรถไฟของ keisai ตั้งอยู่ด้วย เรายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของสวนฯ แต่มองไปด้านหน้าก็พบว่าทางเข้าด้านนี้มีการปิดปรับปรุงอยู่ เราเลยตัดสินใจไม่ไปเดินเล่นด้านใน ยกคู่มือที่เตรียมไว้ขึ้นมาดู เอาเป็นว่าครั้งนี้เราจะมาเดินเล่นในตลาดกันค่ะ ในตลาดจะมีอะไรบ้างเดี๋ยวตามมาได้เลย

เห่ย.... ประตูมันเหมือนซ่อมอยู่อะเอาไงดี เราเริ่มทำหน้ามุ่ยเพราะแผนที่เตรียมมานั้นเปลี่ยนได้ตลอดๆ
เอาไงก็ได้ เค้าตามที่รักอยู่แล้ว นั่น ดูโอ๋พูดสิ มันน่านัก
งั้นเอาเป็นว่า วันนี้เราไปเดินตลาดละกัน อ่านจากหนังสือเค้าบอกว่าตลาดนี้เป็นตลาดขายของสด มีของฝาก เสื้อผ้า และอื่นๆราคาถูกวางขายอยู่ด้วยนะ ที่สำคัญ...มีกระเป๋าแบรด์เนมมือสองอยู่ด้วยอะ เราตอบพร้อมกับมองหน้าโอ๋ ... สิ้นประโยคโอ๋ตาลุกวาว
มีร้านกระเป๋ามือสองด้วยเหรอ เค้าอยากไป น้ำเสียงของโอ๋ลั้นลามากๆเลยค่ะ ><”

หลังจากที่ปรึกษากันเสร็จแล้วเราสองคนก็เดินข้ามถนนเข้ามายังด้านในของตลาดค่ะ ที่นี่เป็นซอยไม่เล็กไม่ใหญ่ นึกถึงตลาดสำเพ็งบ้านเราแต่ดูดีกว่าและกว้างกว่าค่ะ ไม่มีรถวิ่งเข้าวิ่งออกให้รู้สึกรำคาญใจ...
มาถึงหน้าตลาดแล้วขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันหน่อยค่ะ ตลาดของสด AMEYAYOKOCHOสินค้ามีมากมายหลากหลาย เดี๋ยวเข้าไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง
………………………………………………………..…………

เดินเข้ามานิดเดียวก็เจอนี่เลยค่ะ ร้านอาหาร แบบว่ายั่วอารมณ์กันสุดๆเลยค่ะ เสียดายยังอิ่มอยู่ไม่งั้นคงได้ซัดกันอีกรอบแน่ๆ  ดูท่าทางน่ากินสุดๆ เนื้อโบะมาเต็มชามเลย
เดินเข้ามาอีกนิดก็เจอร้านราเมนค่ะ ดักคนชอบโซ้ยตั้งแต่ปากซอยเลยทีเดียว น่ากินสุดๆ
ถ้ามองขึ้นไปด้านบน ก็จะพบว่าตลาดจะมีแต่ตึกแบบนี้ละค่ะ เห็นด้านบนแบบนี้เหมือนกะว่าด้านล่างไม่ใช่ตลาดเลยค่ะ แต่...มองลงมาด้านล่าง.. อิอิ ตลาดชัดๆ
ระหว่างที่เดินสำรวจไปเรื่อยๆ โอ๋เห็นร้านขายของขำหรือเครื่องสำอางค์ไม่ได้เลย วิ่งเข้าวิ่งออกตลอด ไม่รู้จะซื้อไปทำไมเยอะแยะ ระหว่างที่รอโอ๋อยู่ด้านล่างของร้านค้า เห็นตู้หยอดเหรียญ 100 เยน เลยยืนหยอดเหรียญเล่นซักหน่อยเพื่อทดสอบความเก่งกาจของตัวเอง อิอิ.... ในที่สุด เจ้าหมีแพนด้าน้อยก็หล่นลงมาด้านล่างค่ะ เย้ๆๆๆๆ ในที่สุดก็คีบติดมือมา 1 ตัว เสียเงินไป 100 เยน... เมื่อวานฮีโร่ซังเพิ่งบอกเคล็ดลับมาค่ะ โดยการเล่นหยอดเหรียญนั้นให้เล็งตู้ที่มีสินค้ากำลังจะหล่นลงมา หากไม่มีสินค้าใกล้หล่นก็ไม่ต้องเล่น เพราะกว่าจะคีบให้หล่นได้ต้องเสียตังค์ไปหลาย โชคดีของเรา ก่อนหน้านี้คงมีคนมาเล่นแล้วคีบไม่ลงแน่ๆ น้องหมีตัวนี้เลยนอนตะแคงอยู่ตรงช่อง เราแค่เอาที่หนีบไปผลัก เจ้าหมีน้อยก็หล่นลงมาด้านล่างแล้วค่ะ เราดีใจยกใหญ่หยิบเจ้าตุ๊กตาตัวแรกที่คีบได้ขึ้นมาในมือ รอโอ๋ลงมาจากร้านขายของเดี๋ยวจะอวดให้สมใจเลยเชียว

ยุ่งๆๆๆ เค้าคีบตุ๊กตาได้ด้วยอะ เราลิงโลดเมื่อเห็นโอ๋เดินลงมาจากร้านขายของซึ่งเป็นตึกแถวประมาณ 3 ชั้น
เก่งจังไอ้หมู คีบได้ด้วย โอ๋ชมเราต่อ
ไม่ได้คีบหรอก มันวางอยู่ตรงข่อง เห็นว่าใกล้หล่นก็เลยลองเล่นอะ เอาที่คีบดันมันลงก็ไดละ เราพูดพร้อมกับยิ้มผ่านแววตาที่แสดงถึงความดีใจสุดๆ
ตัวแรกเลยนะเนี่ย ไม่อยากจะพูด คีบเองได้ด้วย เรายังยกยอปอปั้นตัวเองไม่หยุด
.............................................................

ตรงข้ามร้านขายเครื่องสำอางค์เป็นร้านขายผลไม้ มีผลไม้มากมายหลายชนิด ทีเห็นอยู่ด้านซ้ายมือสีเหลืองๆนั่นคือมะม่วงสุขนะคะ ลูกละ 500 เยน คิดเป็นเงินไทยก็ 200 บาท อูวววววว... ราคาแรงส์ได้เรื่องเลยนะ .. ต่อมาก็เป็นแอปเปิ้ล ส้ม องุ่น และที่เห็นด้านบนก็เป็นแคนตาลูปค่ะ
ที่ร้านผลไม้สดเค้านำผลไม้ในร้านมาขายเป็นชิ้นๆด้วยค่ะ ขายชิ้นละ 100 เยน ท่าทางจะหวานฉ่ำน่าดู ตีเป็นเงินไทยตอนนี้ก็ 40 บาทต่อชิ้น

ยุ่ง...มีแคนตาลูปขายชิ้นละ 100 เยนอะ ท่าทางอร่อย ลองกินมะ เราถามโอ๋เป็นการหยั่งเชิง
กินๆๆ โอ๋ตอบมาโดยไม่ลังเลซักนิด

ที่เห็นวางอยุ่ก็มีอยู่ 3 ชนิดค่ะ สับปะรด แคนตาลูปเขียว กับแคนตาลูปสีส้ม เราสองคนเลือกแคนตาลูปเขียวมากินคนละ 1 ไม้ ยื่นเงินให้คุณลุงไป 200 เยนแล้วหยิบสินค้าออกมาสองไม้เลยค่ะ
ได้แคนตาลูปมาแล้วเรายื่นให้โอ๋ 1 ไม้ พร้อมกับกัดลงไปในเนื้อแคนตาลูป อืม....ขอบอกว่าแคนตาลูปหวานกรอบสุดๆ หอมหวานมากๆ มันฉ่ำในปากทุกคำที่กัดลงไป เราสองคนหันมามองหน้ากันแล้วยิ้ม ไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกจากปากเราสองคน ... โอ๋ทำท่าจะเดินต่อ เรารีบบอกว่าห้ามเดินกิน มันเสียมารยาทของคนที่นี่... โอ๋หันหน้ามาพร้อมกับยืนกินแคนตาลูปในมือจนหมด...
ที่แจ้งไปว่าคนญี่ปุ่นเขาไม่เดินไปกินไปนั้นเป็นเรื่องที่สังเกตุเอาเองค่ะ ตั้งแต่เดินเที่ยวที่วัดอาซาคุสะ สังเกตุว่าอะไรที่เสียบไม้อยู่เขาจะไม่เดินกินกันเลย จะยืนกินให้หมดตรงนั้นแล้วค่อยออกเดิน อาจจะเป็นเรื่องของความปลอดภัยนะคะ คือหากเดินไปกินไปไม้อาจทิ่มได้... แหะๆๆ อันนี้คิดเอาเองอะ
กินผลไม้กันฉ่ำลิ้นไปแล้ว เราสองคนก็เดินชมสินค้านานาชนิดในตลาดค่ะ เดินผ่านมาหลายๆร้านไม่ว่าจะเป็นร้านผลไม้ซึ่งร้านนี้ขายผลไม้เยอะมากๆ  เดินชมตลาดกันไปทั่วค่ะงานนี้ อาหารตาทั้งนั้น ทำให้หิวขึ้นมาอีกแล้วสิเนี่ย
เดินมาถึงกึ่งกลางของตลาดเห็นจะได้ เจอเจ้าตัวนี้ตั้งอยู่โดดเด่นเป็นสง่า เลยขอเก็บรูปมาหนึ่งใบ หลังจากนั้นก็เดินชมตลาดกันต่อ ตลาดที่นี่แตกต่างจากบ้านเรามากมายค่ะ แม้ว่าจะเป็นตลาดขายของสดก็จริง แต่ขอบอกว่าทางเดินนั้นไม่แฉะเลยค่ะ กลิ่นคาวของอาหารก็ไม่ได้คละคลุ้งขึ้นมาแม้แต่น้อย
ร้านนี้ขายปลาดิบและของสดต่างๆไม่ว่าจะเป็นเนื้อปู เนื้อปลา ไข่กุ้ง หรือของสดอื่นๆก็มีขายนะคะ ของสดน่าดูค่ะ บางร้านก็ยืนแล่กันหน้าร้านเลยและด้านในร้านทำเป็นร้านขายซูชิด้วย แบบว่าครบวงจรเชียวค่ะ
ร้านที่เก็บมาฝากกันอีกร้านคือร้านขายขาค่ะ ขอบอกว่าชาเขียวของญี่ปุ่นรสชาดดีนะคะ มีหลายสายพันธ์และหลายยี่ห้อทีเดียว เลือกซื้อเลือกหากันได้ตามใจชอบเลยค่ะ
เดินต่อไปอีกนิดฝนเจ้ากรรมก็เริ่มปรอยๆลงมา ร้านค้าต่างก็พากันกางผ้าใบออกมากันฝนไม่ให้หล่นลงบนสินค้า เราสองคนเดินผ่านฝนที่กำลังปรอยลงมาอย่างไม่ขาดสาย

ฝนตกอะ เราเริ่มบทการสนทนาขึ้นกลางสายฝน เดินต่อได้ป่าวยุ่ง หันหลังไปถามโอ๋เล็กน้อยด้วยความเป็นห่วง
เดินได้ ไม่เป็นไร โอ๋ตอบกลับมาพร้อมกับเอามือบังฝน

เดินมาได้ไม่ถึง 10 ก้าวฝนก็หยุดตกซะงั้น เรามองหน้ากันแล้วหัวเราะ สงสัยฝนจะไล่ให้เรารีบกลับไปหาแม่ พูดเสร็จเรายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู โห ... เกือบ 4 โมงแล้ว เราหันมาบอกโอ๋
งั้นเดี๋ยวเราเลี้ยวกันที่ขวามือด้านหน้าเลยละกัน เพราะว่าจะเดินออกจากตลาดได้คงเกือบชั่วโมง

ฝั่งที่เราเดินมานี้ส่วนใหญ่จะขายเสื้อผ้าค่ะ ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าวัยรุ่น
สิ่งที่โชคดีที่สุดสำหรับการเดินเที่ยวตลาดในวันนี้ก็คือ เรามาพบร้านขายของแบรนด์เนมมือสองโดยไม่ได้นัดหมาย ซึ่งเป็นอะไรที่โอ๋ยินดีสุดๆ ของแบรนด์เนมที่นำมาขายก็มีนาฬิกา กระเป๋าถือ กระเป๋าสะพาย กระเป๋าตังค์ มีหลากหลายแบรนด์ ใครสนใจก็มาดูของกันได้นะคะ แต่สำหรับเราแล้วคิดว่าราคากับสภาพมันยังไม่ค่อยโดนเท่าไหร่
เราเองไม่ค่อยชอบของแบรนด์เนม เลยออกมาดูของอยู่ด้านหน้าค่ะ  ภาพที่เห็นเป็นร้านขายของมือสองที่ตั้งอยู่ที่ตลาด ใครผ่านไปผ่านมาเห็นร้านนี้ก็เข้าไปชมได้เลยค่ะ ไม่ซื้อไม่หาพนักงานก้ไม่ว่าค่ะ
เป็นอย่างที่ว่าจริงๆค่ะ กว่าจะออกจากตลาดได้ก็ปาเข้าไปเกือบ 5 โมงเย็น งานนี้แพลที่จะไป akihabara จะเป็นยังไงบ้างนะ ...

เราออกจากตลาดมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ uneo ซึ่งคราวนี้เราจะไม่นั่งใต้ดินค่ะ จะไปนั่งลอยฟ้าสาย yamanote ซึ่งผ่านย่าน akihabara  ย่านนี้จะเป็นสถานที่ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า กล้อง หรืออื่นที่เป็นสินค้า electronic ค่ะ นั่งสาย yamanote มาลงที่ akihabara ก็หาทางออกมุ่งหน้าไปย่านเครื่องใช้ไฟฟ้าทันทีค่ะ  เราเดินดูสินค้ามากมายหลายรายการ หลายร้าน ฝนเจ้ากรรมก็เริ่มทยอยปรอยลงมาอีกแล้ว ... สินค้าที่นี่มีตั้งแต่สายไฟ ปลั๊ก ไปจนถึง หม้อหุงข้าว ทีวี คอมพิวเตอร์ กล้อง และอื่นๆอีกเพียบค่ะ อ้อ...sextoy ก็มีอยู่หลายร้านเหมือนกันนะคะ ใครที่ชอบหากแวะมาย่านนี้ก็หาติดมือไปได้ค่ะ เสียดายเราสองคนใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานก็ต้องกลับไปเจอแม่จ้องที่คามาตะแล้วค่ะ โดนตามตัวด่วนเนื่องจากตะลอนเที่ยวกันไม่สนใจแม่เลย 555++  สุดท้ายได้ของติดมือกลับมาจากakihabara 2 ชิ้น จะเป็นอะไรนั้นขออุบไว้ละกันค่ะ
เรามุ่งหน้ากลับไปยังสถานี akihabara นั่งรถไฟสาย yamanote กลับไปยังคามาตะเพื่อเจอแม่ที่นั่นค่ะ เพราะโดนโทรตามกระหน่ำหลายสายแร้ววววว วว ว  
ในรีวิวหน้าจะพาไปกินราเมนอร่อยๆที่คามาตะนะคะ อย่าลืมติดตาม... สำหรับวันนี้ ขอตัวไปพักผ่อนก่อนคร๊า... จุ๊บๆ

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

++ Japan Trip ++ เที่ยววัดอาซาคุสะ ตอนจบ

จากรีวิวก่อนหน้านี้เราได้เดินลัดเลาะผ่านร้านขายของที่อยู่ด้านหน้า ผ่านร้านขายขนมและได้ชิมขนมอร่อยๆมาจนถึงด้านหน้าของวัดอาซาคุสะแล้ว ตอนนี้ได้เวลาเข้าไปชมความงามของวัดด้านในกันแล้วค่ ซึ่งด้านในของวัดนั้นยังคงมีโคมไฟยักษ์ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของที่นี่แขวนอยู่ตรงประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เข้ามาชม
ก่อนเข้าไปด้านในก็ตามระเบียบของนักท่องเที่ยวหลายๆคน ขอเก็บภาพกับโคมไฟยักษ์เป็นที่ระลึกหน่อยค่ะ เรารอให้ผู้คนเดินผ่านเจ้าโคมไฟอยู่หลายนาที ในที่สุดก็ได้จังหวะแล้ว เราโผเข้าไปยืนใต้โคมไฟยักษ์และบอกให้โอ๋กดชัตเตอร์ลงไป โดยให้เราทำมุมกับโคมไฟแบบพอดิบพอดี
เอาละนะ ทำแบบให้มันเอียงๆหน่อยอะ เราบอกโอ๋
ทำยังไงอะ ทำไม่เป็น โอ๋เริ่มชักสีหน้าเล็กน้อย
ก็เอาเค้าไว้ตรงมุมด้านล่างอะ แล้วเสยกล้องขึ้นไปด้านบนอะ เราเริ่มเสียงแข็งบ้าง
จะถ่ายละ เดี๋ยวค่อยมาดูเองละกัน ไม่ชอบก็ลบทิ้ง โอ๋เสียงแข็งบ้าง อะ 1-2-3 แชะ
และรูปก็ออกมาอย่างที่เห็นค่ะ จะบอกว่าโอเคซะทีเดียวก็คงไม่ใช่ แต่...ขืนให้โอ๋ถ่ายอีกซัก 2-3มีหวังหน้างอแหงๆ
เดินเข้ามาด้านในของตัววัด จะมีกระถางธูปอยู่กึ่งกลางลานวัดพอดีค่ะ กระถางธูปอันนี้เชื่อกันว่าถ้านำเรากวักควันธูปเข้าหาตัวก็จะเจอแต่สิ่งดีๆอะไรประมาณนี้ค่ะ เราสองคนมองหน้ากันเล็กน้อย โอ๋เดินลิ่วเข้าไปหากระถางธูป ส่วนเรางานนี้ขอบาย เกรงว่ากลิ่นควันจะเข้าเลนส์ค่ะ ยุ่งไปเองละกันนะ เค้าไม่เข้าไปอะ เดี๋ยวกล้องจะพัง เรารีบบอกโอ๋ เพราะห่วงกล้อง
งั้นเค้าไปกวักควันเองละกัน ที่รักก็ยืนรอเค้านะ โอ๋หันมายิ้ม
ที่กระถางธูปคนค่อนข้างเยอะทีเดียวค่ะ บ้างก็กำลังยืนปักธูป บ้างก็ยืนพนมมือไหว้ บ้างก็ยืนกวักควันเข้าหาตัว เราจัดเจงนำกล้องยัดลงไปในกระเป๋าเสื้อแล้วเดินตามเข้าไป อิอิ เกิดอยากได้ควันธูปติดตัวบ้างอะนะ ^^ .... เดินตรงไปยังกระถางธูปกวักควันเข้าหาตัวสามครั้งแล้วยกมือขึ้นไหว้ สาธุ ขอให้ครอบครัวของลูกมีแต่สิ่งดีๆเข้ามานะเจ้าคะ...  อธิฐานเสร็จก็นำมือลูบหัวไปด้านหลัง
ยุ่งเสร็จยังเนี่ย เราถามโอ๋เหมือนที่นี่ไม่ใช่ญี่ปุ่น เหตุเพราะเราคุยกันดังมากเสมือนว่าที่นี่คือเมืองไทย แต่ไม่แคร์ค่ะ ชอบที่ได้พูดภาษาไทย ชอบที่ได้ป่าวประกาศว่าเราคื่อคนไทยที่อยู่ใต้ร่มพระบารมีของในหลวง
เสร็จแล้ว โอ๋หันมาพร้อมกับทำหน้าเหยเก เพราะควันเข้าตา
สมควรละ เราตอกย้ำโอ๋ เข้าไปตั้งนานเพิ่งออกมา ไม่สำลักควันตายก็บุญละ สิ้นเสียงเราก็หัวเราะออกมา ทำให้โอ๋มองหน้าด้วยอาการงอนเล็กน้อย
เดี๋ยวเหอะไอ่หมู เดี๋ยวจะโดน โอ๋พูดพร้อมกับเอามือชี้มายังหน้าเราเล็กน้อย
ไม่ห่างจากกระถางธูปมากนักมีบ่อน้ำเล็กๆให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาสักการะได้ชำระร่างกายก่อนเข้าไปกราบไหว้ด้านใน ... จะเรียกว่าบ่อน้ำก็ไม่ถูกนักค่ะ เพราะมีลักษณะเหมือนบ่อแต่มีน้ำพุอยู่ด้านบนอย่างที่เห็นในรูปเลยค่ะ เป็นธรรมเนียมของเด็กใหม่ค่ะที่ก่อนจะเข้าไปยังตัวบ่อน้ำ เราต้องด้อมๆมองๆรุ่นพี่ที่อยู่ตรงบ่อว่าเขาทำอะไรกันบ้าง เท่าที่สังเกตุก็เห็นว่ามีการตักน้ำแล้วนำเข้าปาก และนำน้ำเทลงฝ่ามือพรมหน้าและแขน เอาล่ะค่ะ ...ได้เวลาเด็กใหม่ต้องเดินตามรอยเท้ารุ่นพี่แล้ว... เราสองคนเดินไปยังบ่อน้ำและนำกระบวยตักน้ำลงไป ... เราได้น้ำมาแล้วอันดับแรกก็ล้างมือด้านซ้าย ล้างมือด้านขวา สุดท้ายนำน้ำเข้าปาก...แต่ลืมบ้วนออกมาค่ะ กลืนน้ำลงคอดังเอื้อกทำให้โอ๋ที่อยู่ด้านข้างหันมามอง
ไอ่หมู ทำไมไม่บ้วนน้ำทิ้ง โอ๋ถามด้วยสีหน้างงๆ ปนหัวเราะเล็กน้อย
อ้าว...ลืมอะ กลืนลงไปแล้ว ทำไงดี เราเริ่มมีสีหน้ากังวล พร้อมกับหันไปมองรอบๆข้าง ทุกคนนำน้ำเข้าไปในปากและบ้วนออกมาทั้งนั้น แต่เรากลืน!!!!!!!!
แม่หมู น้ำจะสะอาดหรือป่าวเนี่ย หมูกลืนลงไปแล้วอะ ทำไงดี เราเกาะแขนโอ๋ ทำสีหน้าอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ
 555++ ใครเค้าบอกให้กลืนลงไปล่ะเนี่ย โอ๋หัวเราะไม่หยุด
ไม่รู้อะ ลืมบ้วนอะ กลืนลงไปเลย เราหัวเราะมั่ง คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ หรือเป็น หรือไม่เป็น เอ๋า ยังไงเนี่ย เราเริ่มสับสนในตัวเอง
ไม่รู้เหมือนกัน แต่กลืนลงไปแล้วนี่ โอ๋เริ่มซ้ำ
จะมีคนกลืนน้ำเหมือนเค้ามั๊ยเนี่ย เราเริ่มกังวลขึ้นมาอีก
คงมีแหละ อย่าคิดมากเลย โอ๋เริ่มปลอบ
เราสองคนเดินออกมาจากบ่อน้ำแต่อาการกังวลของเราก็ยังไม่เลิก คอยถามโอ๋อยู่ตลอดเวลาว่ากินน้ำในบ่อแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ น้ำสกปรกหรือไม่ กังวลสารพัดจริงๆค่ะ
ก่อนขึ้นไปด้านบนก็ถ่ายรูปเป็นระลึกเล็กน้อยค่ะ เหลือบไปเห็นหีบใบใหญ่ๆด้านบนซึ่งมีคนรุมอยู่พอสมควร เราสองคนมองหน้าและแอบยิ้มมุมแก้มเล็กน้อย บอกเป็นนัยๆว่า เดี๋ยวขึ้นไปดูกันว่ามันคืออะไร
เจ้าหีบที่ว่านี้มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า เรายืนมองดูคนอื่นๆหยอดเหรียญลงไปในหีบค่ะ เข้าใจว่าน่าจะเป็นการอธิฐานขอพรจากการหยอดเหรียญลงไปด้านล่าง เราหยิบเหรียญ 100 เยนขึ้นมายกมือพนมแล้วอธิฐานของให้พ่อกะแม่มีร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ หลังจากนั้นหย่อนเหรียญลงไปในกล่องแล้วเดินเข้าไปด้านในกันต่อ

ด้วยความที่ด้านในมีคนค่อนข้างหนาแน่นพอสมควร เราสองคนจึงยืนไหว้พระกันที่ด้านหน้าเท่านั้นค่ะ หลังจากนั้นก็มายืนมองวิวทิวทัศน์ของวัดแห่งนี้ ด้านขวามือของเรามีเด็กๆมาทัศนศึกษากันด้วยล่ะ นั่งเป็นระเบียบเรียบร้อยกันเลยทีเดียว เดินลงมาด้านล่างเตรียมตัวออกจากวัดอาซาคุสะ ก็มาเจอกับสิ่งนี้ค่ะ ไม่แน่ใจว่าคืออะไร อ่านไม่ออกซะด้วยสิ อิอิ แต่ขอเดาว่าน่าจะเป็นถังน้ำดับเพลิงในสมัยโบราณหรือเปล่านะ อื้ม... ไม่แน่ใจจริงๆ
ที่รัก มาถ่ายอันนี้เก็บไว้สิ เสียงโอ๋เรียกให้เราเข้าไปใกล้
อันนี้อะนะ มันคืออะไรเนี่ย เราทำหน้างงๆ
ไม่รู้เหมือนกัน แต่ขอถ่าย 1 รูปนะ โอ๋ยิ้ม
อื้อ ถ่ายก็ถ่าย ม่ะ...

เราสองคนเดินเล่นในวัดกันอีกซักพัก เหลือบมองดูนาฬิกาข้อมือได้เวลาอันสมควรที่จะออกเดินทางไปที่อื่นกันต่อแล้วค่ะ ก่อนอำลาวัดอาซาคุสะ ก็ไม่ลืมที่จะแวะร้านไอศรีมที่เจอก่อนเข้ามายังตัววัด

ร้านไอศรีมร้านนี้มีไอศรีมหลากหลายรสชาดเลยค่ะ น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 30 รสได้ โอ๋ยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าร้านรอให้เราเข้าไปสั่งไอศรีมให้
ที่รัก มาสั่งให้เค้าหน่อยสิ โอ๋กวักมือเรียกอยู่หน้าร้าน
ทำไมอะ เค้าไม่มีเมนูให้เหรอ เราเริ่มซัก
มี โอ๋ตอบด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
อื้อ มีก็สั่งสิ เรายิ้ม แต่โอ๋เริ่มทำสีหน้าไม่ค่อยดีแล้ว ทำให้เรารู้ตัวว่าต้องรีบเดินเข้าไปหาทันทีโอเคๆๆๆ รู้แล้วจ้า เราพูดพร้อมกับเดินลิ่วไปหาโอ๋
เราคุยกับคนขายเล็กน้อย แล้วแจ้งไปว่าต้องการไอศรีมรสชาเขียว แม๊ๆๆๆ จะสั่งไม่ได้ยังไงล่ะคะ ภาษาอังกฤษหราเลยนะในเมนูน่ะ อ่อ...รู้แล้วว่าเพราะอะไร อิอิ เก็บไว้เป็นความลับดีกว่า ....

หลังจากโซ้ยไอศรีมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จุดหมายต่อไปของเราสองคนคือย่าน ueno ค่ะ ระหว่างเดินออกมาด้านนอกก็เจอคุณอาคนนึงแต่ตัวแบบโบราณขายขนม มีนักท่องเที่ยวดูกันเพียบเลยค่ะ แต่...ไ่ม่มีใครซื้อขนมแกซักคน ><"
เอาล่ะค่ะ ได้เวลาอำลาย่านอาซาคุสะกันแล้ว เราไปต่อกันที่ย่านอุเอโนะกันเลยดีวกว่า อย่าลืมติดตามการเดินทางจากวัดอาซาคุสะไปย่านอุเอโนะนะคะ ไปดูว่าที่ย่านนั้นเค้ามีอะไรดีๆบ้าง 
เราจะนั่งเจ้ารถไฟ subway สาย ginza ไปลงที่สถานีอุเอโนะกันค่ะ





วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร จังหวัดลำพูน

ส-อ ที่ผ่านมากลับไปลำพูนด้วยเรื่องเร่งด่วน แต่ก็ยังมิวายแว๊บไปถ่ายรูปค่ะ วันนี้แดดค่อนข้างดีทีเดียว เสียดายที่มีโอ๋คอยเร่งเร้าให้ถ่ายเสร็จเร็วๆ เนื่องจากโอ๋ต้องการไปไหว้พระราหูทรงครุฑที่หมอลักษณ์เพิ่งมาทำพิธีบวงสรวง เรามาดูรายละเอียดของวัดแบบคร่าวๆกันเลยค่ะ ใครที่เห็นว่าลำพูนเป็นทางผ่าน อยากบอกว่าเมืองเล็กๆแห่งนี้ไม่ใช่ทางผ่านนะคะ มีอะไรแอบแฝงอยู่อีกเพียบค่ะ เพียงแค่คุณจะเปิดใจมองหาเท่านั้นเอง
 วัดพระธาตุหริภุญไชยวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ใจกลางเมืองลำพูน ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ 150 เมตร มีถนนล้อมรอบสี่ด้าน คือ ถนนอัฏฐารสทางทิศเหนือ ถนนชัยมงคลทางทิศใต้ ถนนรอบเมืองทาง ทิศตะวันออก และถนนอินทยงยศทางทิศตะวันตก สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1651 ในรัชสมัยพระเจ้าอาทิตยราช ต่อมาได้รับการบูรณะต่อเติมมาเป็นลำดับ ภายในบริเวณวัดพระธาตุหริภุญไชย ยังมีสิ่งที่น่าสนใจ คือ ซุ้มประตู
ก่อนที่จะเข้าไปในบริเวณวัด ต้องผ่านซุ้มประตูก่ออิฐถือปูนประดับลวดลายวิจิตรพิสดาร เป็นฝีมือโบราณสมัยศรีวิชัย ประกอบด้วยซุ้มยอดเป็นชั้น ๆ เบื้องหน้าซุ้มประตูมีสิงห์ใหญ่คู่หนึ่งยืนเป็นสง่า บนแท่น สูงประมาณ 1 เมตร สิงห์คู่นี้ปั้นขึ้นใน สมัยพระเจ้าอาทิตยราช เมื่อทรงถวายวังให้เป็นสังฆาราม วิหารหลวง
เมื่อผ่านซุ้มประตูเข้าไปแล้วจะเห็นวิหารหลังใหญ่เรียกว่า "วิหารหลวง" เป็นวิหารหลัง ใหญ่มีพระระเบียงรอบด้าน และมีมุขออกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เป็นวิหารที่สร้างขึ้นใหม่แทนวิหารหลังเก่า ซึ่งถูกพายุพัดพังทลายไปเมื่อ พ.ศ. 2466 วิหารหลวงใช้เป็นที่บำเพ็ญกุศล และประกอบศาสนากิจทุกวันพระ ภายในวิหารประดิษฐานพระปฏิมาใหญ่ ก่ออิฐถือปูน ลงรักปิดทอง บนแท่นแก้วรวม 3 องค์ และพระพุทธ ปฏิมาหล่อโลหะขนาดกลางสมัยเชียงแสนชั้นต้น และชั้นกลางอีกหลายองค์ 
พระบรมธาตุหริภุญไชย เป็นพระเกศบรมธาตุบรรจุในโกศทองคำ ประดิษฐานในพระเจดีย์ (ตั้งอยู่ หลังวิหารหลวง) เป็นเจดีย์แบบล้านนาไทยแท้ๆ ที่ลงตัวสวยงาม ประกอบด้วยฐานปัทม์ แบบฐานบัวลูกแก้ว ย่อเก็จ ต่อจากฐานบัวลูกแก้วเป็นฐานเขียงกลมสามชั้น ตั้งรับองค์ระฆังกลม บัลลังก์ย่อเหลี่ยม เจดีย์มีลักษณะ ใกล้เคียงกับพระธาตุดอยสุเทพที่จังหวัดเชียงใหม่ สูง 25 วา 2 ศอก ฐานกว้าง 12 วา 2 ศอก 1 คืบ มีสัตติ- บัญชร (รั้วเหล็กและทองเหลือง) 2 ชั้น สำเภาทองประดิษฐานอยู่ประจำรั้วชั้นนอกทั้งทิศเหนือ และทิศใต้ มีซุ้มกุมภัณฑ์ และฉัตรประจำสี่มุม และหอคอยประจำทุกด้านรวม 4 หอ บรรจุพระพุทธรูปนั่งทุกหอ นอกจากนี้ยังมีโคมประทีป และแท่นบูชาก่อประจำไว้เพื่อเป็นที่สักการะบูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป พระบรมธาตุนี้นับเป็นปูชนียสถานอันสำคัญยิ่งในล้านนาไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ ในวันเพ็ญ เดือน 6 จะมีงานนมัสการ และสรงน้ำพระธาตุทุกปี ตามประวัติกล่าวเมื่อ พ. ศ. 1440 พระเจ้าอาทิตยราชกษัตริย์วงศ์รามัญผู้ครองนครลำพูนได้สร้างมณฑปครอบโกศทองคำบรรจุพระบรมธาตุไว้ภายในและมีการสร้างเสริมกันต่อมาอีกหลาย สมัยต่อมาในปี พ.ศ. 1986 พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ครองนครเชียงใหม่ได้ทรงกระทำการปฏิสังขรณ์บูรณะ เสริมองค์พระเจดีย์ขึ้นใหม่ การสร้างคราวนี้ได้สร้างโครงขึ้นใหม่เป็นรูปแบบลังกา ซึ่งปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ ทั้งนี้เพราะในสมัยพระเจ้าติโลกราชได้มีความสัมพันธ์กับลังกาอยู่มาก
พระสุวรรณเจดีย์ สร้างขึ้นในสมัยพุทธศตวรรษที่ 17 ตั้งอยู่ทางขวาของพระบรมธาตุ สร้างขึ้น โดยพระนางปทุมวดี อัครมเหสีของพระเจ้าอาทิตยราช ภายหลังเมื่อสร้างพระธาตุฯ เสร็จแล้วได้ 4 ปี พระ สุวรรณเจดีย์องค์นี้เป็นรูปแบบพระปรางค์ 4 เหลี่ยม ฝีมือช่างละโว้มีพระพุทธรูปประจำซุ้ม ฝีมือและแบบขอมหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง ยอดพระเจดีย์มีทองเหลืองหุ้มอยู่ ภายใต้ฐานชั้นล่างเป็นกรุบรรจุพระเปิม ซึ่งเป็นพระเครื่องชนิดหนึ่
เก็บภาพบรรยากาศโดยรอบ