วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

VT แหนมเนือง

กลับจากทำบุญที่วัดเล่งเน่ยยี่ 2 ซึ่งตั้งอยู่ที่บางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เราทั้งสามคนแวะกินอาหารเวียดนามที่ร้านญีญวนเวียดนาม แ่ต่ปรากฎว่ากาาบริการของร้านแย่มากๆ เราจึงรู้สึกคาใจกับอาหารเวียดนามกันสุดๆ และแล้วในที่สุด
"ไม่ต้องไปสำโรงกันแล้ว เราไปกินล้างตากันที่ร้าน VT แหนมเหนืองดีมั๊ยเจ๊" เราออกความเห็น
"เออ เจ๊ว่าเราไปกินต่อดีกว่าว่ะ" เจ๊แอนเริ่มสนับสนุนความคิดเรา
"สงสัยเมื่อกี้กินกันไม่อิ่มแน่ๆเลยช่ายมะ" ไม่มีเสียงตอบของพวกเรา มีแต่เสียงหัวเราะกลบเกลื่อนความหิวของตัวเองเท่านั้น 

เราขับรถจากบางบัวทองมายังซอยแบริ่ง 29 ค่ะ เพื่อมาลิ้มลองรสชาดของอาหารเวียดนามที่นี่ มานั่งกินที่นี่สบายใจสบายกายกว่ากันเยอะเลย เลี้ยวรถเข้ามาในซอยแบริ่ง 29 จะเห็นร้าน VT ตั้งตระหง่านเด่นชัดอยู่เบื้องหน้า เราจอดรถด้านหน้ามีพนักงานเข้ามาเปิดประตูให้ พร้ิอมกับเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านในของร้าน หย่อนก้นยังไม่ทันจะถึงเบาะพนักงานสาวน่ารักก็นำเมนูมาวางให้ที่โต๊ะ 2 ชุด พร้อมกับยืนรับออเดอร์ทันที แหม...มันช่างต่างกับร้านแรกจริงๆเลยวุ๊ย กว่าจะเรียกให้มันมารับออเดอร์ได้ ต้องตะโกนเสียงดังสุดๆ 5555++  

เรารับเมนูมาแล้วเริ่มทยอยสั่งดั่งคนบ้าคลั่ง 
"น้องเตรียมจดเลยนะ" 
"มึงจะแดกทั้งร้านเลยรึไง เชี่ย..." เจ๊ดักคอ
"ก็สั่งมาประชดชีวิตเล่นๆไงเจ๊ หมั่นไส้ไอ้ร้านยียวนกวนส้นตรีน" เราเปลี่ยนชื่อร้านให้เสร็จสรรพ
"ที่รักสั่งพอกินอย่าสั่งเยอะ อ้วน" โอ๋ เบรคอีกราย 
เฮ๊ย ไม่มีใครเข้าข้างเลยวุ๊ยตรู 

สองสาวไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ แต่รูปนี้ตั้ง pictue style ผิดเลยน้อย ดันตั้ง vivid สีผิวเลยออกมาแบบแดงๆอะ ><"
ผ่านไปไม่ถึง 5 นาที อาหารเริ่มทยอยมาวางบนโต๊ะแล้วค่ะ เริ่มด้วยแหนมเนืองชุดกลาง กลิ่นของชิ้นเนื้อหอมแตะจมูกเชียวล่ะ เครื่องเคียงก็ดูสดใหม่ดีค่ะ ส่วนผักที่ให้มานั้นสด สะอาดดี แต่เสียดายน้อยไปหน่อย เราเลยขอผักมาเพิ่มอีก 1 ชุด 

หมูย่างใบชะพลู รสชาดดีหอมกลิ่นใบชะพลู ยิ่งกินกับเส้นหมี่ราดน้ำจิ้มที่ให้มาด้วยกันแล้วยิ่งเข้ากันสุดๆ
จานต่อไปเป็นปอเปี๊ยะทอด ทอดกันสดๆเลยค่ะ ขณะที่ยกมาควันยังขึ้นฉุยๆ ตอนแรกลืมตัว หยิบปอเปี๊ยทอดเข้าปาก ป๊าดดดดด ร้อนสิคะ คายออกมาแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว
 จานนี้สุดยอดความอร่อยของโอ๋ค่ะ ยำหมูยอหนัง รสชาดแซ่บสะเด็ดจริงๆ
 อาหารพร้อมคนพร้อม ตั้งหน้าตั้งตาลุยกันเลยค่ะ
ทริปนี้เป็นทริปรวมตัวเฉพาะกิจค่ะ เนื่องจากเป็นวันเกิดของน้องปู (คนใส่เสื้อลูกไม้สีขาว) เลยพาไปสะเดาะเคราะห์และทำบุญกันก่อนมากินข้าว เสียดายอีกหนึ่งสาวลาออกจากวงการไปเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้จะหวนคืนกลับวงการอีกเมื่อไหร่ เอาเป็นว่าใครสนใจจะลองไปทานร้านนี้ก็ตามรายละเอียดด้านล่างเลยนะจ๊ะ ติดรีวิวทริปญี่ปุ่นมาหลายวันแล้ว ขอตัวไปเตรียมรีวิวก่อนจ้า...
         สถานที่ตั้ง 
  • 84/3 ซอยซอย สุขุมวิท 107 ถนนสุขุมวิท ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ สมุทรปราการ 10270
    สาขา : สุขุมวิท 107

    เบอร์โทรศัพท์ 
    023995292,0812694592,
  • การเดินทาง
  • จากถนนสุขุมวิท มุ่งหน้าไปทางอุดมสุข ร้านวีทีแหนมเนือง อยู่บริเวณซอยสุขุมวิท 107 (แบริ่ง 29)

วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

++ เที่ยวอ่างศิลา ++

วันนี้ขอคั่นรีวิวการเดินทางท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นด้วยการออกไปไหว้องค์นาจาและแวะเดินเล่นที่อ่างศิลาค่ะ  สายๆรู้สึกเบื่อๆก็นั่งเล่นเน็ตตามปกติค่ะ บังเอิญไปเจอข้อความของแม่เกโระในเฟสบุ๊คว่ากำลังเดินทางไปไหว้องค์นาจา เลยชวนโอ๋ออกไปไหว้พระและทำบุญที่วัดองค์นาจา อ่างศิลากันทันที
"ยุ่ง กบไปไหว้นาจาที่อ่างศิลาอะ" เราบอกโอ๋ด้วยอาการตื่นเต้น
"แล้วยังไงคะที่รัก" โอ๋ถามด้วยน้ำเสียงยียวนสุดๆ "อยากออกไปถ่ายรูปรึไง" แหมๆๆๆ ยังซ้ำอีก 
"ก็อยากออกไปนอกบ้านบ้างอะ ไม่ได้ออกบ้านมาหลายอาทิตย์แล้วนะ" เราเริ่มทำเสียงอ่อย 
"จะไปหรือป่าว ถ้าจะไปแม่หมูจะได้ไปแต่งตัว" อ่าว สถานการณ์พลิกกลับ ในที่สุดก็ใจอ่อนยอมออกบ้าน

ออกจากบ้านประมาณเที่ยงกว่าๆค่ะ วิ่งถนนเส้นบางนา-ตราดมุ่งหน้าไปชลบุรี วันนี้รถเยอะสุดๆ ต้องขับแบบระมัดระวังค่ะ ขับรถแบบตามใจฉันกันหลายคันเลยเฮ้อ... ขับเข้ามาในเขตชลบุรีเจอป้ายไปอ่างศิลาก็เลี้ยวไปตามเส้นทางเรื่อยๆ ในที่สุดก็ถึงวัดแล้วค่ะ 
      วัดนาจา หรือ วิหารเทสถิต เริ่มสร้างเมื่อราวเดือนมีนาคม พ.ศ. 2534 โดยอาจารย์สมชาย เฉยศิริ เป็นผู้ริเริ่ม สร้างศาลเจ้าแห่งนี้ เดิมทีเป็นเพียงแค่ศาลเจ้าเล็ก ๆ ด้วยบารมีแห่งองค์เทพเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อทำให้ ผู้ที่มากราบ ไหว้ มีความร่มเย็นเป็นสุข มีชีวิตที่มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองในธุรกิจการค้ามากมาย จนมาเมื่อปี พ.ศ. 2539 อาจารย์สมชาย เฉยศิริ ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยสร้างเป็น วิหาร 4 ชั้น ขึ้นเพื่อ "เฉลิมพระ เกียรติครบรอบ 72 พรรษา ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" โดยเริ่มสร้าง เมื่อวัน อาทิตย์ที่ 16 กรกฏาคม พ.ศ. 2538 แล้วเสร็จเมื่อวันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2543 มีระยะเวลาการก่อสร้างกว่า 4 ปี ใช้งบประมาณการก่อสร้างกว่า 300 ล้านบาท สร้างบนเนื้อที่ 4 ไร่ และยังมีเนื้อที่อยู่รอบศาลเจ้าอีกกว่า 8 ไร่

แผนที่การเดินทางไปยังวิหารเทพสถิต
หลังจากทำบุญที่ด้านล่างกันเสร็จแล้ว ก็ขึ้นไปไหว้องค์พระที่ด้านบนค่ะ ซึ่งด้านบนนั้นเ้ค้าห้ามถ่ายรูปและถ่ายวีดีโอ ดังนั้นในขณะที่ขึ้นไปไหว้องค์พระด้านบนนั้นจึงไม่สามารถเก็บภาพความงดงามภายในมาได้ ใครอยากรู้ว่าด้านในงดงามแค่ไหนต้องมาชมกันเองนะคะ  
 ไหว้พระเสร็จเรียบร้อยก็ออกมานั่งดูวิวภายนอกและเก็บภาพของโอ๋เล็กน้อย  ก่อนออกเดินทางไปยังตลาดโบราณอ่างศิลา 133 ปี 
 ขับรถมาไม่ห่างจากวัดนาจามากนัก จะมีป้ายบอกทางไปตลาดโบราณเป็นระยะๆ ตรงหัวมุมที่เป็นโค้งอันตรายจะมีซอยทางเข้าตลาดโบราณอ่างศิลาค่ะ เลี้ยวซ้ายเข้ามาหาที่จอดรถได้เลยค่ะ ตลาดโบราณอ่างศิลานั้นหากขับมาจากวัดนาจา ต้องกลับรถมุ่งหน้าไป กทม นะคะ ขืนขับตรงไปเรื่อยมีหวังไปโผล่บางแสนแน่ๆค่ะ  

ตลาดเก่าอ่างศิลา เป็นตลาดที่มีมานานถึง 133 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ชาวตะวันตกและคนบางกอกหรือคนกรุงเทพ มาพักตากอากาศกันมาก ชื่ออ่างหินก็เริ่มเปลี่ยนแปลงเป็น อ่างศิลา” ให้ดูเป็นสากลมากขึ้น สำหรับคำว่าอ่างศิลาที่คนเรียกติดปากนั้น  เดิมแล้วคนในพื้นที่ดั้งเดิมเรียกกันว่า “อ่างหิน” เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสจังหวัดชลบุรี ได้ประทับแรมที่อ่างศิลา โดยมีลายพระราชหัตถเลขา ลงวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2419 พรรณนาถึง อ่างศิลา ตอนหนึ่งว่า เรียกชื่อว่าอ่างศิลานั้น พราะมีแผ่นดินสูงเป็นลูกเนิน มีศิลาก้อนใหญ่ๆ เป็นศิลาดาด และเป็นสระยาวรี และนี่ก็คือที่มาของคำว่า “อ่างศิลา”

จอดรถเป็นที่เรียบร้อย ด้านหน้าที่จอดรถจะมีตึกแดง หรือ ตึกราชินี ตั้งอยู่ ประวัติความเป็นมาของตึกราชีนี มีป้ายแจ้งอยู่ที่หน้าตึกซึ่งเป็นประวัติย่อๆ ของตึกราชินีแห่งนี้ ซึ่งตึกแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ตากอากาศแห่งแรกของประเทศไทย ในสมัยรัชกาลที่ 4  ต่อมาก็ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ในระหว่างที่สำเร็จราชการแทนรัชกาลที่ 5 ในตอนที่เสด็จประพาสยุโรปค่ะ ลักษณะของตึกหลังนี้สร้างด้วยปูน เป็นตึก 2 ชั้น  และทาสีแดง อยู่ติดริมทะเล บรรยากาศดีมากๆ เลยค่ะ วันที่เราไปนั้นมีการเตรียมจัดงานอยู่ด้านหลังด้วย เลยทำให้เราพลาดโอากาสในการถ่ายรูปไปโดยปริยาย ภายในตึกมีความขลังเล็กน้อยค่ะ ลมไม่พัดผ่านเท่าไหร่เนื่องจากประตูแทบทุกบานปิดตายสนิทเลย ชั้นบนมีอยู่ด้วยกัน 2 ห้อง แต่ละห้องก็จะมีภาพถ่ายขาวดำโบราณติดไว้ที่ผนังห้อง กำลังจะยกกล้องขึ้นถ่ายรูป แต่มันรู้สึกหวิวๆเลยรีบลงมาดีกว่า แหะๆๆๆ เป็นคนกลัวผีซะด้วยสิคะ
 ออกจากตึกแดงมาเดินฝ่าแดดจ้ามาเรื่อยๆค่ะ มาถึงสามแยกก็ให้เลี้ยวขวาเดินเข้าไปในตลาด วันนี้ค่อนข้างเงียบเหงาเล็กน้อยถึงมากที่สุด บรรยากาศของความคึกคักเหมือนเมื่อตอนเปิดตลาดพร้อมกับโฆษณานั้นไม่มีเหลืออยู่เลย แต่กลับเป็นเรื่องดีของเราค่ะ เพราะจะได้เดินชมตลาดในมุมเดิมๆอย่างแท้จริง 
เดินเข้ามาด้านในประมาณ 50 เมตร เจอกับร้านออส่วน ผัดไทย หอยทอด เรายกนาฬิกาดู บ่ายสองโมงกว่าแล้ว สงสัยโอ๋หิวแน่ๆเพราะไม่มีข้าวตกถึงท้องซักกาเม็ด
"ยุ่ง กินออส่วนหรือป่าว ร้านนี้ท่าทางใช้ได้เลยทีเดียว" เราถามโอ๋
"ได้ กินร้านนี้ก็ได้" 
เรานั่งโต๊ริมถนนซึ่งตั้งอยู่ข้างๆโต๊ะสำหรับทำออส่วน น้องคนขายเดินมาถามว่าสั่งอะไรหรือยัง เราตอบพร้อมกับสั่งออส่วน และ หอยทอด แม่ค้าใช้เวลาทำไม่นานค่ะ ในที่สุดออส่วนและหอยทอดก็มาวางอยู่บนโต๊ะเรา
"น้องๆ พี่ขอโก้โก้ไม่หวาน 1 แก้วด้วยนะ" โอ๋ตะโกนแจ้งพนักงาน
"ได้ค่ะพี่" 
อาหารที่สั่งมาทั้งหมดเกลี้ยงไปในพริบตา ค่าเสียหายทั้งหมด 95 บาท รวมโกโก้เย็นของโอ๋ หลังจากนั้นเราใช้เวลาไม่นานในการเดินเที่ยวภายในตลาดโบราณอ่างศิลา คือแบบว่า... ไม่มีอะไรขายเลยค่ะ การตลาดที่นำเสนอตลาดเก่าในวันนั้นไม่เหมือนตลาดที่เราเห็นอยู่เบื้องหน้าในวันนี้เลยให้ตายเหอะ ><"
บ่ายสามโมงสิบนาที เราออกจากตลาดโบราณฯ มุ่งหน้าไปยังตลาดประมงท่าเรือพลี ที่น้องรถเมล์คนสวยเคยพาไปเดินเล่นหาของกินอร่อยๆ อิอิ อยากไปมานานแล้วค่ะ งานนี้ไม่พลาดแน่นอน ออกจากลานจอดรถเลี้ยวขวามุ่งหน้าไปตลาดประมงท่าเรือพลี
.........................................................................................................................

เส้นทางไปท่าเรือประมงพลีนั้นสวยทีเดียวค่ะ เพราะถนนเส้นนี้เป็นถนนเลียบชายทะเล ด้านซ้ายมือเป็นทะเล ซึ่งวันนี้มีนกบินว่อนไปมาโฉบเฉี่ยวเล่นกับแสงอาทิตย์ที่ทอดแสงลงมายังพื้นน้ำ บ่ายสามโมงสามสิบห้าแล้วค่ะ ไม่รู้ว่าตลาดเปิดหรือยัง เราขับรถเข้าใกล้ตลาดฯแล้วค่ะ สังเกตุได้จากรถเริ่มจอดหนาตาแล้ว เราชะลอรถหาที่จอดริมถนน โชคดีที่มาก่อน 4 โมงเย็นเลยยังพอมีที่จอดใกล้ๆทางเข้าตลาด 
"เค้าจะลงไปแล้วนะ" เราบอกโอ๋ซึ่่งนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่
"อือ ลงไปก่อนก็ได้เดี๋ยวเค้าตามไป" โอ๋ตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองเราซักนิด
"งั้นเค้าลงไปก่อนนะ แล้วถ้าเค้าถ่ายรูปเสร็จแล้วจะโทรหา ยุ่งก็ตามมานะ" เราบอกโอ๋แล้วปิดประตูรถทันที
ไม่นานนักโอ๋ก็เดินตามมายังหน้าตลาดประมงท่าเรือพลีค่ะ ระหว่างนี้เดินเข้าไปสำรวจข้างในกันดีกว่า ได้กินอาหารลอยมาแตะจมูกแล้วค่ะ 
อาหารที่นี่มีเยอะมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็น กุ้ง หอย ปู ปลา ทอดมัน น้ำผลไม้ น้ำเปล่า น้ำอัดลม ปลาหมึกย่าง และอื่นๆอีกมากมาย อาหารสามารถนั่งทานได้ที่นี่หรือจะซื้อกลับบ้านก็แล้วแต่ลูกค้า ถนนขายของแห่งนี้น่าจะขาวประมาณซัก 300 เมตรได้ มีอาหารขายสองฝั่ง ก็ประมาณว่าเดินไปกลับก็ได้ 1 รอบค่ะ อาหารแต่ละร้านน่ากินสุดๆ แต่....ราคาอาหารนั้นขอบอกว่าเวอร์มากๆ ไม่สมราคาคุยเลย ประชาสัมพันธ์ว่าอาหารราคาไม่แพงแต่เอาเข้าจริงๆ ไม่แพงค่ะ แต่... แพงโคดๆ  โดยเฉพาะปู แพงมากๆ  หอยแครงยังโล 90 บาทเลยค่ะ โอ๊ยยยยยย ไม่อยาก said  
อาหารที่ราคาปกติเท่าที่เห็นก็มีหอยแมลงภู่ กะปลากระพงทอดราดน้ำปลาร้านนี้แหละค่ะ ราคารับได้ เราเดินดูก่อนรอบนึง แล้ววกกลับไปซื้อหอยแมลงภู่ ปลาอินทรีย์ทอด หอยหวาน ยำปูม้า ปูจ๋า และปลากระพงทอดราดน้ำปลากลับไปกินกะครอบครัวที่บ้าน ตกลงมาตามรอยน้องรถเมล์แต่เจอราคาอาหารแล้วไม่ปลื้มอย่างแรงค่ะ... แต่ถึงราคาอาหารจะแพงยังไงก็ยังรักน้องรถเมล์อยู่ดี อิอิ รักนะจุ๊บๆ 
ในโพสต์ครั้งหน้าจะกลับไปเขียนรีวิววันแรกของทริปญี่ปุ่นให้เสร็จจ้า อย่าลืมติดตาม :)

ปล. รูปจาก galaxy S

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

++ Japan Trip ++ กินเนื้อย่างที่คาวาซากิ

รถบัสพาเราลัดเลาะเส้นทางต่างๆจากคามาตะมาจนถึงป้ายรถเมล์หน้าบ้าน การเดินทางจากคามาตะมาบ้านนั้นใช้เวลาเพียง 15 นาที เราสามคนลงจากรถลากกระเป๋าเดินทางข้ามถนน อากาศวันนี้ค่อนข้างขมุกขมัวเล็กน้อย ฝนฟ้าทำท่าว่าจะตกลงมากระทบผืนดินได้ทุกเมื่อ ข้ามถนนเสร็จป้าอ๊อดเดินนำเลี้ยวเข้าซอยไปอีก 20 เมตรในที่สุดก็มาถึงหน้าบ้านฮีโร่ซังและแม่แล้วค่ะ ป้าอ๊อดจัดแจงขึ้นไปเปิดประตูด้านบนและลงมาเปิดประตูหน้าบ้านเชื้อเชิญให้เราเข้าไปด้านใน
เข้ามาเลยลูก เดี๋ยวเราเอากระเป๋าไปไว้ในห้องแม่เค้าก่อนละกันนะ ป้าอ๊อดพูดพลางช่วยเรายกกระเป๋าขึ้นไปชั้นสอง
แล้วแม่ละคะป้าอ๊อด เราถามด้วยความเป็นห่วง
เค้าปั่นจักรยานตามเรามา อีกซักพักก็คงถึงแล้วล่ะ
อ้อ...คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะใช้จักรยานเป็นพาหนะในการเดินทางค่ะ ปั่นกันเป็นว่าเล่นเลยทีเดียว
ผ่านการเดินทางจากสนามบินนาริตะมาถึงบ้าน ทำให้เรารู้สึกเมื่อยล้านิดหน่อยค่ะ เราเอนหลังลงไปนอนบนที่นอนของแม่หลังยังไม่ทันแตะพื้น เสียงแม่ก็ดังมาจากด้านล่าง... เป็นเหตุให้ต้องดึงหลังกลับมาตั้งตรงเหมือนเดิมค่ะ แม่เดินเข้ามาทักทายแล้วบอกว่าให้เราพักผ่อนกันซักครู่เดี๋ยวจะพาไปเที่ยวย่านคาวาซากิ ซึ่งเป็นถิ่นของแม่อีกถิ่นหนึ่งค่ะ ... เย็นนี้เราต้องออกไปเจอฮีโร่ซังซึ่งทำงานอยู่ละแวกนั้น แต่ตอนนี้ขอตัวเอนหลังแป๊บนะคะ
...........................................................................

ไอ่หมู ตื่นได้แล้ว เสียงของโอ๋เรียกเราให้ตื่นจากภวังค์ ไปล้างหน้าได้แล้วนะ แม่บอกว่าจะพาไปหาอะไรกินที่คาวาซากิ โอ๋ย้ำให้เราต้องลุกทันที
โหยย...แม่หมู รู้แล้ว บ่นจังเลย เราสบถออกไป
เดี๋ยวจะโดนนะ มาพูดแบบนี้ได้ไง
เราลุกไปล้างหน้าล้างตาเพื่อเรียกความสดชื่นกลับคืนมา วันนี้อากาศที่นี่ค่อนข้างเย็นเลยทีเดียว เราเหลือบมองออกไปนอกหน้าตา อ่าว... งานเข้าละ ฝนตกลงมาปรอยๆ พื้นถนนชุ่มช่ำไปด้วยสายฝน
ยุ่งฝนปรอยๆอะ เราบอกโอ๋ด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ
ที่ญี่ปุ่นเป็นแบบนี้แหละ ตกปรอยๆเดี๋ยวมันก็หยุด แม่บอกอย่างคนคุ้นเคย
โห แล้วพรุ่งนี้มันจะตกอีกมั๊ยอะคะแม่ เราถามแม่ด้วยใจจดจ่อ เนื่องจากเรามีโปรแกรมจะไปนิกโก้
น่าจะตกนะ เพราะเห็นพยากรณ์อากาศบอกว่าจะตกตลอดเวลาที่เราสองคนมาเที่ยว แม่พูดพร้อมกับหัวเราะ หึ หึ  อ่าว ... งานเข้าสิคะเนี่ย งั้นพรุ่งนี้ต้องมาวัดดวงกันอีกที แต่มันก็เอาแน่เอานอนไม่ได้หรอกว่าจะตกช่วงไหน แต่พยากรณ์อากาศที่นี่แม่นนะ แน่ะ แม่ยังตามมาสำทับอีกรอบ

เกือบ 4 โมงเย็นแล้ว แม่ชักชวนป้าอ๊อดให้เดินทางไปพบฮีโร่ซังด้วยกันที่คาวาซากิ ... ป้าอ๊อดตอบตกลงด้วยความเกรงใจแม่ และช่วยแม่ปิดประตูบ้านอย่างขะมักเขม้น ... ฝนยังคงปรอยลงมาเป็นระยะ มองขึ้นไปบนฟ้าสายฝนเม็ดเล็กมากๆ เล็กขนาดไหนลองคิดว่าเดินตากฝนประมาณ 10 นาทีหัวยังไม่เปียกเลยค่ะ แต่จะเห็นละอองฝนเม็ดเล็กๆอยู่บนเส้นผมเราเยอะมากเท่านั้นเอง  เราทั้งสี่คนพร้อมเดินทางออกไปเจอฮีโร่ซังที่คาวาซากินแล้วค่ะ ออกจากบ้านเลี้ยวซ้ายเพื่อนั่งรถไฟไปคาวาซากิ อย่างที่บอกไปแล้วค่ะ ญี่ปุ่นวางผังเมืองการเดินทางไว้ดีมากๆ ไม่ต้องมีรถส่วนตัวก็สามารถเดินทางไปทั่วญี่ปุ่นโดยสะดวกและง่ายมากๆค่ะ อีกอย่างที่คนญี่ปุ่นไม่นิยมซื้อรถเพราะที่จอดรถนั้นมีค่าเช่าที่แพงมากๆ ดังนั้นการเลือกใช้ขนส่งสาธารณะและจักรยานน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ ด้านข้างของบ้านแม่มีวัดตั้งอยู่ด้วยค่ะ จะหาโอกาสมาถ่ายรูปที่นี่ให้ได้ อิอิ 
ระยะทางที่จะเดินไปสถานีรถไฟเพื่อต่อไปยังคาวาซากิมีระยะทางประมาณ 200 เมตรค่ะ ถ้าเป็นที่เมืองไทยคงต้องนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างกันแล้ว แต่มาที่นี่มีแต่เดิน เดิน และเดินค่ะ แต่วันนี้ที่ีญี่ปุ่นเราจะเดิน เดินและเดิน ^_^  เดินผ่านร้านขายของ ไปรษณีย์ และร้านราเมนมาหลายร้านเลยค่ะกว่าจะมาถึงสถานทีรถไฟ กว่าจะเดินมาถึงที่นี่ได้เล่นเอาโอ๋หอบเลยค่ะ ขานั้นอยากลองใช้พาสโมแปะซื้อน้ำที่ตู้จำหน่าย แม่บอกว่าให้นำพาสโมไปแปะดู ปรากฎว่าเราสามารถซื้อน้ำจากตู้จำหน่ายได้โดยพาสโมได้เลย ซึ่งตู้จำหน่ายน้ำนั้นจะมีทั้งที่แปะของ passmo และ suica สะดวกสบายดีแท้ อ่อ...บัตรของ 7-11 นั่นแหละค่ะ ที่ใช้ได้ที่ 7-11 แต่ของที่นี่เค้าครอบคลุมทั่วประเทศเลย ไม่ว่าจะเป็นขึ้นรถไฟ รถบัส ซื้อของที่ห้างและอื่นๆ บ้านเราก็คงเอาของเค้ามาตามระเบียบ แต่ไม่เป็นที่นิยมเพราะมันใช้ได้ที่เดียวนั่นเอง
ยืนรออยู่ที่สถานีไ่ม่เกิน 5 นาทีรถไฟก็มาจอดเทียบ รถไฟที่เราจะนั่งไปคาวาซากิมีหน้าตาแบบนี้ค่ะ นั่งไปแค่สถานีเดียวเท่านั้น รถไฟของที่นี่จะมีหลายขบวนนะคะ ถ้ายังจำเส้นใยแมงมุมที่แปะให้ดูในรีวิวก่อนจะเห็นว่าีมีหลายสายเลยทีเดียว ส่วนเจ้ารถไฟที่เราจะนั่งไปคาวาซาิกิคันนี้ไม่ได้เป็นสาย JR ที่วิ่งกับขวักไขว่นะคะ เป็นสาย local ที่วิ่งเชื่อมต่อชานเมืองกะสถานีใหญ่ๆ ซึ่งหากใครไปที่คาวาซากิแล้วจะต่อเข้าไปยังตัวเมืองต้องไปต่อที่สถานทีคาวาซากิของ JR เค้าล่่ะ เพราะเป็น JR เป็นเจ้าใหญ่ รถไฟครอบคลุมโตเกียวเลยทีเดียว นั่ง yamanote ก็เที่ยวโตเกียวได้หมดเลยค่ะ 
.........................................................................................................................................
ถึงสถานทีคาวาซากิ เราเดินลงมาด้านล่างของสถานี ที่นี่คนพลุกพล่านเลยทีเดียว ตึกสูงตั้งตระหง่านอยู่สองฟากฝั่งถนน
"ฮีโร่น่าจะมาประมาณ 5 โมง เราสองคนจะไปเดินเล่นกันก่อนมั๊ย" แม่บอกพร้อมกับยิงคำถามไปในตัว
"ไปค่ะแม่" เราตอบทันทีเช่นกัน
"อย่าเดินไปไกลแม่นะ เดี๋ยวจะคลาดสายตา" แม่กำชับ...แปร่ววววววว ววว ยังไม่ทัีนเดินไปไหนเล๊ย แม่ก็มาขัดจังหวะีแล้วค่ะ ><"     "ค่ะแม่" 

เดินเล่นอยู่หน้าห้างไม่ถึง 10 นาที แม่ก็ตะโกนเรียก "นี่กลับมากันได้แล้ว ฮีโร่มาแล้ว มาสวัสดีฮีโร่กันก่อน"  เราสองคนกึ่งเดินกึ่งวิ่ง 
"โห ถ่ายรูปได้แค่ 3 รูปแม่เรียกให้รายงานตัวอีกแล้ว" เรา่บ่นกะโอ๋เล็กน้อย 
"ไอ่หมู เดี๋ยวจะโดนนะ ไปหาฮีโ่ร่ก่อน เดี๋ยวเราก็ได้ไปถ่ายรูปที่อื่นกันแล้วนี่" โอ๋ปลอบใจ พร้อมกับจูงมือเราไปหาฮีโร่ซัง
ฮีโร่ซังยืนยิ้มแป้นอยู่ข้างๆแม่ พร้อมกับทักทายเราเป็นภาษาญี่ปุ่น พร้อมกับตบท้ายด้วยภาษาไทย "สบายดีมั๊ยครับ"
"สวัสดีค่ะ ฮีโร่ซัง" โอ๋ทักทาย แต่เจอเราสำทับ
"คอมบังวะ โอะเกงกิเดสสึก๊ะ" จบประโยคโอ๋หันมาค้อนเล็กน้อย
"อะไรเนี่ย โหย เอาหน้าว่ะ" โอ๋บ่น แม่หัวเราะแล้วบอกลูกสาวตัวดีของแม่ว่า
"รุ่งมันฉลาดนะเนี่ย เข้าใจทัก" สิ้นเสียงแม่กะป้าอ๊อดก็หัวเราะกันสองคน


แม่คุยกะฮีโร่ซังก่อนที่จะเดินนำเราเข้าไปด้านในของย่านใจกลางของคาวาซากิ เราเดินผ่านร้านค้าหลายๆร้าน มีทั้งร้านค้าขายเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ร้านสะดวกซื้อ อ้อ... ขอบอกก่อนว่าเห็นร้านเล็กๆเหล่านี้ขายแบรนด์เนมอย่าคิดว่าเป็นของปลอมเหมือนบ้านเรานะคะ ที่นี่เค้าต่อต้านของปลอมค่ะ ฉะนั้นไว้ใจได้เลยว่าของที่ซื้อไปจากที่นี่ไม่มีของปลอมแน่ๆ ตอนแรกที่เห็นรองเท้าไนกี้ พูม่า หรือยี่ห้ออื่นๆ วางขายอยู่หน้าร้านเล็กๆ ก็ออกอาการงงเล็กน้อย เดินเข้าไปดูราคาก็ 2-3 พันบาท แม่บอกว่า "ไม่ใช่ของปลอมเหมือนบ้านเรานะ เห็นร้านเล็กๆแบบนี้แต่ไม่มีของปลอมจ๊ะ" อืม...มันเป็นแบบนี้เอง 


เดินต่อมาอีกนิดก็จะเป็นร้านเล่น slot ค่ะ ที่นี่เค้าเปิดกันอย่างถูกกฎหมายกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะไปตรงไหนของญี่ปุ่นจะมีร้าน slot ตั้งอยู่ตลอด คนที่เข้าไปเ่่ล่นมี 2 ประเภทค่ะ 1. คนทำงานจะมาเล่นหลังเลิกงาน 2.คนแก่ จะมานั่งรอร้าน slot เปิดแต่เช้า อิอิ และคุึณแม่ก็เป็นประเภทที่ 1 ซึ่งอีกไม่นานนักอาจจะต้องเลื่อนมาเป็นประเภทที่ 2 ในเร็ววันล่ะ 
"แม่คะ ร้านนี้ร้านอะไรอะคะ" เราถามแม่ด้วยความสงสัย
"ร้าน slot ทีแม่มานั่งเล่นเวลาเลิกงานไง" แม่คลายความสงสัยของเราไปสิ้น
"เดี๋ยวมาครั้งหน้าแม่จะพามาเล่น ครั้งนี้ยังไม่ต้องเล่นหรอก มาแค่ 6 วันเอง" แม่ัตัดบทซะงั้นเลยค่ะ เห็นแล้วอยากลองเล่นดูว่ามันเป็นยังไงกันน้อ อิอิ ...
เดินผ่านย่าน slot มาแ้ล้วฮีโร่ซังก็เชิญชวนเข้าไปร้านหยอดเหรียญ 100 เยนค่ะ ด้านในจะเป็นตู้หยอดเหรียญซึ่งด้านในมีตุ๊กตา มีของเล่นนาๆชนิดให้เราเข้าไปคีบ ลักษณะก็คล้ายๆกับตู้คีบตุ๊กตาบ้านเรานั่นแหลค่ะ แต่ที่นี่เค้ามีหลากหลายสุดๆ แม่ให้โอ๋ไปแลกเหรียญที่ตู้แลกเหรียญอัตโนมัติจำนวน 1000 เยน หลังจากนั้นแจกเหรียญให้เราทดลองเล่น ได้รับเงินมาจากแม่แล้วเรามายืนมองฮีโร่ซังพยามคีบเจ้าตัวนี้ออกมาจากตู้ รอบแรกหมดหวังค่ะ เจ้าตุ๊กตาไม่ยอมหล่น ฮีโร่แกเลยเดินไปตู้อื่นๆบ้าง
ฮีโร่เป็นเซียนคีบตุ๊กตาจริงๆ ตุ๊กตาที่อยู่เต็มบ้านตอนนี้ก็ได้มาจากฝีมือของฮีโร่นี่แหละค่ะ และวันนี้ฮีโร่ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง คีบเค้าสติชออกมาจากตู้ได้ด้วยค่ะ พวกเราลั้นลากันใหญ่เลย ส่วนพวงกุญแจ 3 ตัวที่อยู่ในมือโอ๋ก็ฝีมือแม่ล่ะค่ะ ส่วนเราสองคนงานนี้ชวด อิอิ มือใหม่หัดขับค่ะ ต้องขออภัยเล็กน้อย ^__^
ได้ตุ๊กตาติดไม้ติดมือกลับบ้านกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ แม่มองดูนาฬิกาที่อยู่ในข้อมือ 
"ไปหาอะไรกินกันได้แล้ว ฮีโร่ซังต้องกินข้าวตรงเวลา เพราะต้องทานยาด้วย" แม่บอก "เราสองคนอยากกินอะไรกัน" แม่ถามต่อ
"อะไรก็ได้ค่ะแม่" เราตอบแม่ไป
แม่หันไปคุยกะฮีโ่ร่ซังเรื่องอาหารการกิน จับใจความได้ว่า มื้อนี้ฮีโร่จะเลี้ยงต้อนรับเราสองคนด้วยเนื้อย่างค่ะ 
"เดี๋ยวไปกินเนื้อย่างร้านอร่อยกันนะ" แม่หันมาบอกพร้อมกับเดินนำหน้าไป 

เราเดินเข้ามาด้านในจากตัวสถานีคาวาซากิประมาณ 150 เมตร ก็พบร้านเนื้อย่างร้านนี้ค่ะ เป็นตึกแถวเล็กๆ ซึ่งร้านตั้งอยู่ชั้นสองของตัวอาคาร ตามมากันเลยนะคะ ท่าทางจะอร่อยใช่เล่น...
เดินขึ้นมาด้านบน ฮีโร่ซังทักทายพนักงานในร้านได้ความว่าอีก 10 นาทีร้านถึงจะเปิดบริการ ดังนั้นเราทั้ง 5 คนเลยนั่งรออยู่ด้านหน้า้ร้านค่ะ ภายในร้านตกแต่งไปด้วยขวดสาเก ซึ่งมีมากมายหลายยี่ห้อเหลือเกิน 
"ถ่ายรูปรวมกันมั๊ยเดี๋ยวป้าอ๊อดถ่ายให้" 
"ได้ค่ะป้าอ๊อด งั้นรบกวนด้วยนะคะ" เราตอบป้าอ๊อดพร้อมกับยื่นกล้องตัวโปรดที่อยู่ในมือให้ป้าอ๊อดถ่ายรูป
"หนึ่ง สอง สาม" แช๊ะ ป้าอ๊อดกดชัตเตอร์ลงไป 2 รูป
เราหยิบกล้องมาดูรูปในจอ LCD 
"แม่เก๊กอีกละ 555++ " โอ๋พูดพร้อมกับขำท่าทางของแม่
"อ้าว ก็เขาถ่ายรูปแล้วทำหน้าแบบนี้อยู่แล้วนะ" แม่ตอบโอ๋ด้วยอาการค้อนนิดๆ 
เราหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะหยุดลงเมื่อพนักงานเดินมาเชื้อเชิญให้เราเข้าไปด้านใน 
ในร้านมีที่นั่ง 2 แบค่ะ คือแบบโต๊ะตามปกติ กับแบบห้องส่วนตัว เราเข้ามานั่งให้ห้องซึ่งถูกกั้นด้วยฉากแบบญี่ปุ่น ลักษณะของห้องจะเจาะรูเป็นสี่เหลี่ยมไว้ตรงกลางห้อง ด้านบนถูกวางทับด้วยโต๊ะขนาดกระทัดรัด ที่นั่งจะเป็นระดับเดียวกับพื้นห้องค่ะ เวลานั่งก็หย่อนขาลงไปใต้โต๊ะ ทำให้นั่งกินได้สะดวกไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นเหน็บชา ^__^  พนักงานนำเมนูมาให้ แม่ยื่นให้เราดูรายการอาหาร 
"แหมแม่ ยื่นมาให้หนูยังกับว่าหนูอ่านออกงั้นแหละ" โอ๋ค้อนเล็กน้อย
"อ่านไม่ออก ดูรูปก็ยังดี โอ๊ะ...อะไรวะ" แม่ก็แอบจิกโอ๋เล็กน้อยเช่นกัน
คู่นี้กัดกันตลอดจริงๆค่ะ จะกินข้าวแล้วก็ยังมิวาย ><"

ตกลงว่าสุดท้ายฮีโร่ก็เป็นคนสั่งอาหารมาให้เราทุกคนทานค่ะ สั่งเสร็จแล้วพนักงานเริ่มทยอยนำอาหารมาวางบนโต๊ะทีละอย่าง จานแรกเป็นผักผัดซอสงาค่ะ โรยด้วยงาขาวอีกที ผักที่เห็นจะมีผักโขม ถั่วงอก เห็ดแล้วก็หัวไชเท้า จานที่สองเป็นเนื้อ โอยยย...ยังไม่ได้ย่างก็น้ำลายไหลแล้วค่ะ หลังจากที่ได้เนื้อมาเราก็นำเนื้อลงไปย่างในเตาถ่าน เสียงน้ำมันของเนื้อหยดลงไปกระทบกับถ่านด้านล่างดัง ฉู่ฉี่ๆๆๆๆ กลิ่นหอมของเนื้อคละคลุงเต็มห้อง หลังจากนั้นพนักงานก็นำซุปและข้าวเปล่ามาให้ ฮีโร่ซังถามป้าอ๊อดว่ารับเบียร์หรือป่าว ป้าอ๊อดปฎิเสธแต่ฮีโร่บอกว่าไม่ต้องเกรงใจ เลยสั่งเบียร์มาซดแกล้มเนื้อย่างกันสองคน 

นำเนื้อลงไปวางพอสุก เราหยิบเนื้อติดมันขึ้นมา 1 ชิ้น แล้ววางบนข้าวสวยร้อนๆที่ทางร้านเพิ่งยกมาให้ คีบเนื้อย่างเข้าปากและเริ่มกัด เนื้อย่างติดมันชิ้นนี้เมื่อกัดคำแรก น้ำมันของเนื้อแตกกระจายเต็มปาก ทำให้เราสัมผัสถึงความหอมของมันและความนุ่มของเนื้อซึ่งเป็นอะไรที่ลงตัวมากๆค่ะ เนื้อไม่เหนียวเลยซักนิด ซึ่งชิ้นที่เราหยิบเข้าปากนั้นค่อนข้างหนาพอสมควร แต่เมื่อฟันบดลงไปบนตัวเนื้อกลับไม่พบความเหนียวเลย โอยยย... มันแทบจะละลายในปากได้เลยค่ะ อร่อยมากๆ

เอื้อมมือไปหยิบผักแกล้ม รสชาดจืดๆสไตล์ญี่ปุ่นค่ะ แต่ความหอมของน้ำมันงาทำให้รสชาดของผักจานนี้อร่อยได้ไม่น้อย เมื่อกินกับเนื้อย่างแล้วมันช่างเข้ากันเหลือเกิน  ส่วนน้ำซุปรสชาดเข้มข้นสุดๆ ไม่เผ็ดจนเกินไป กลิ่นหอมของเครื่องเทศและรสชาดของน้ำซุปของผักก็ลงตัวเหลือหลาย ทำให้เรามีความสุขกับอาหารมื้อนี้สุดๆค่ะ 
อิ่มหนำสำราญกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฮีโร่เดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า เราทั้งสองคนยกมื้อไหว้ พร้อมกล่าวคำขอบคุณเป็นภาษาญี่ปุ่น ฮีโร่ซังตอบมาเป็นภาษาไทย "สบาย สบาย" ซึ่งเป็นคำติดปากของฮีโร่ซังไม่ว่าจะในสถานการณ์ไหนๆ แต่เบื้องหลังเบื้องลึกแล้วคำนี้มาจากการที่ฮีโร่ซังชอบพี่เบิร์ดมากนั่นเอง แกฟังเพลงของพี่เบิร์ดทุกชุด ดูคอนเสริต์และคาราโอเกะทุกชุด บางเพลงร้องคลอตามได้อีกแน่ะ น่ารักจริงๆค่ะ
กินข้าวเสร็จเดินเที่ยวตามร้านขายของอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นกลับเข้าบ้านกันค่ะ คืนนี้อิ่มหนำสำราญพร้อมกับเตรียมตัวออกเดินทางในวันพรุ่งนี้กันต่อ ^_^  อย่าลืมติดตามนะจ๊ะ 



++ Japan Trip ++ มุ่งหน้าสู่โตเกียว กินซูชิที่คามาตะ

เนื่องด้วยการเดินทางเข้าเมืองของเรานั้นต้องนั่งเจ้ารถไฟคันนี้ แต่โชคดีที่ขึ้นต้นสายค่ะทำให้เราไม่ต้องแย่งกับใคร เดินเข้ามาในตู้รถไฟ จัดแจงวางกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อย  ป้าอ๊อดบอกว่า นั่งเลยลูก อยากนั่งตรงไหนก็นั่งเลย เรานั่งต้นสาย สบายๆ ไม่ต้องแย่งกะคนอื่น ถ้าขึ้นกลางทางนะ ยืนเมื่อยเลยลูก  คงจะจริงอย่างป้าอ๊อดบอกค่ะ ถ้าเรายืนไปจนถึงชินากาว่าซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงคงเมื่อยแย่  วางกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อย สายตาของเราก็เริ่มสอดส่ายไปมาล่ะ จริงๆ รถไฟฟ้าของทีนี่ก็คล้ายๆกับบ้านเรานะคะ แต่แตกต่างตรงที่เบาะของญี่ปุ่นในหน้าร้อนเขาจะมีฮีตเตอร์ทำความร้อนให้คลายหนาวกันด้วยค่ะ สวัสดิการของคนญี่ปุ่นนี่เจ๋งมากๆเลยนะ น่าอิจฉาสุดๆ แม้ว่าเขาจะโดนเก็บภาษีเยอะแต่สวัสดิการที่ได้รับกลับมามันเกินคุ้มจริงๆค่ะ ไม่เหมือนบ้านเรา ง่ะ... พูดไปเดี๋ยวเข้าการเมืองอีกละ วกกลับมาเรื่องเที่ยวต่อดีกว่า อิอิ
รถไฟเริ่มเคลื่อนขบวนออกชานชลาแล้วค่ะ เรานั่งเค้าขบวนนี้มุ่งหน้าไปสถานีชินากาว่าเพื่อต่อรถไฟอีกขบวนหนึ่งไปยังสถานีคามาตะ ซึ่งเป็นปลายทางของวันนี้ นั่งรถไฟผ่านบ้าน ผ่านทุ่งนา ผ่านย่านธุรกิจ จริงๆแล้วถ้ามองผิวเผินบรรยากาศของญี่ปุ่นกะของเมืองไทยไม่ต่างกันเลยค่ะ ต่างกันที่ดีไซน์ของตัวบ้านมากกว่า  ..... ขอนั่งงีบก่อนนะคะ เดี๋ยวเจอกันอีกทีที่สถานทีชินากาว่าเลยจ้า
..........................................................................................................

ตื่นกันได้แล้วลูก เดี๋ยวป้ายหน้าเราต้องลงแล้ว เสียงป้าอ๊อดเรียกให้เราสองคนหลุดจากภวังค์ เราลืมตาขึ้นมาพร้อมกับหาวอีก 1 วอด ใกล้ถึงแล้วเหรอคะป้าอ๊อด เราถามป้าอ๊อดด้วยอาการงัวเงีย จ๊ะ เดี๋ยวลงป้ายหน้าแล้วนะ สิ้นเสียงป้าอ๊อด เราเอื้อมมือไปคว้ากล้องให้อยู่ในท่าทะมัดทะแมงพร้อมจะถ่ายรูปทุกเมื่อ
ยุ่ง ตื่นหรือยังอะ เราถามโอ๋เพราะเห็นว่ายังมีอาการสลืมสลือเล็กน้อย ตื่นๆๆๆ เดี๋ยวก็ตามป้าอ๊อดไม่ทันหรอก

กรึงๆๆๆๆๆ เอี๊ยดดดดดดดด  เสียงรถไฟจอดเทียบสถานีชินากาว่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราสามคนเดินออกมาจากสถานีรถไฟ ป้าอ๊อดเดินนำหน้าลิ่วๆ เรามองหาโอ๋เพราะกลัวคลาดกัน
หิวกันหรือยังลูก ป้าอ๊อดถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
ยังไม่หิวค่ะป้าอ๊อด
โอเคงั้นเดี๋ยวป้าอ๊อดพาเดินดูรอบๆก่อนแล้วไปเข้าห้องน้ำกัน ป้าอ๊อดพูดพร้อมกับนำทาง
.....................................................................................................

สถานีชินากาว่าเป็นสถานีใหญ่เลยค่ะ รถทุกขบวนจะต้องแวะมาส่งผู้โดยสารที่นี่ ญี่ปุ่นวางผังเมืองไว้ได้ดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟหรือรถสาธารณะอื่นสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างง่ายดาย นี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่คนที่นี่ไม่นิยมซื้อรถ เพราะการเดินทางค่อนข้างสะดวกสบายสุดๆ  จะสะดวกแค่ไหนเดี๋ยวต้องมาลองกันหน่อย เพราะเราเตรียมโปรแกรมการท่องเที่ยวไว้เพียเลยค่ะ เดินผ่านร้านราเมนหลายร้านเลยค่ะ โอยยย หิวชะมัดเลย ><"
เดินมาแป๊บๆก็มาถึงหน้าห้องน้ำแล้ว งานนี้สองสาวขอตัวเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้เรายืนเฝ้าของอยู่ทางด้านหน้า จริงๆก็แค่ยังไม่ปวดเท่านั้นเองค่ะ เลยอาสายืนอยู่หน้าห้องน้ำประหนึ่งว่าเป็นยามเฝ้าทรัพย์  ด้าหน้าของห้องน้ำมี locker เก็บของด้วยค่ะ เจ้า locker นี้เป็นตู้รับฝากของซึ่งเป็นที่นิยมกันในหมู่คนญี่ปุ่นค่ะ สำหรับคนที่ต้องเดินทางไปสถานที่อื่นโดยต้องกลับมายังสถานีเดิมนี้อีกครั้ง เราจะสามารถนำสัมภาระของเราฝากไว้ใน locker นี้ได้ค่ะ ค่าใช้จ่ายจะคิดโดยการหยอดเหรียญลงไปใน locker เพื่อฝากของ ซึ่ง locker มีหลายขนาดค่ะ อย่างที่เราเห็นกันนี้จะเป็นขนาดไม่ใหญ่มาก ไม่สามาระใส่เป้ใบใหญ่ลงไปได้  แต่มีข้อแม้ว่า ฝากของไว้แล้วอย่าลืมกลับมาเอาด้วยนะคะ ไม่งั้นหาของงงเป็นไก่ตาแตกเลยล่ะ ..
ป้าอ๊อดกะโอ๋ออกมาจากห้องน้ำแล้วค่ะ ขอตระเวนดูของกินกันเล็กน้อยนะคะ เดี๋ยวพาไปดูเพลินๆค่ะ ....

....................................................................................................
ในที่สุดก็โดนชีสเค้กต่อยเข้าที่เบ้าตาดังโป๊ะ โอ๋ยืนเก้ๆกังอยู่ที่หน้าร้านเค๊กจนป้าอ๊อดจับสังเกตุได้
ชอบมั๊ยลูก เดี๋ยวป้าอ๊อดซื้อให้ แม่เค้าฝากเงินมาเผื่อลูกๆจะอยากกินอะไร
โอ๋หันมามองหน้าเรา เรายิ้มแล้วให้ตอบ อยากกินใช่มั๊ย ชิสเค้กเนี่ย ของโปรดเลยนี่ จะเอาป่าว
ยังไม่ทันที่โอ๋จะตอบ ป้าอ๊อดก็ยืนสั่งกะคนขายแล้วหันมาถามโอ๋ว่าชอบชิ้นไหนชี้เลย กล่องนึงสั่งได้ ชิ้น เราเห็นแววตาของโอ๋เป็นประกาย พร้อมกับมีรอยยิ้มที่มุมปาก .... โอ๋ชี้ไปยังชิ้นนั้นชิ้นนี้จนครบทั้งหมด 4 ชิ้น ป้าอ๊อดจัดการจ่ายเงินแล้วหันหน้ามาบอกว่าเราเดี๋ยวป้าอ๊อดจะพาไปกินซูชิร้านอร่อยที่คามาตะนะ นัดแม่เค้าไว้ที่นี่
ซูชิ!!!!!!!!!!!!!!! ว้าววววววว เสียงนี้ดังก้องอยู่ในหัวของเรา เห็นแม่เค้าบอกว่าพวกเราชอบกิน เดี๋ยวป้าอ๊อดพาไป รับรองร้านนี้อร่อยที่สุดในคามาตะ
เราย้ายร่างจากร้านขายของด้านในของสถานีรถไฟ มุ่งหน้าไปยังชานชลาของรถไฟสาย .......... มุ่งหน้าไปคามาตะ งานนี้เรายืนเบียดกับผู้โดยสารในขบวนรถ แต่ยังพอมีที่ให้ยกกล้องขึ้นมาบันทึกภาพได้ โชคดีที่หิ้วเจ้า Sony Nex 5 n มาด้วย ไม่อย่างนั้นคงแบกNikon D90 ขึ้นเหนือล่องใต้แน่ๆเลยค่ะ  
ไม่ถึง 5 นาทีเราก็มาถึงสถานีคามาตะ งานนี้ป้าอ๊อดไม่พูดพล่ามทำเพลง พาเราเดินลิ่วๆตรงไปยังร้านซูชิทันที ระหว่างทางไปร้านซูชิเราพบเจอร้านหลากหลายไม่ว่าจะเป็นร้านขายดอกไม้ซึ่งตกแต่งร้านด้วยบรรยากาศฮาโลวีน ... ร้านซูชิ ร้านราเมน ร้านขนมปัง และร้านอื่นๆอีกเพียบ  สถานีคามาตะตั้งอยู่ในตัวห้างค่ะ ดังนั้นเราจึงเดินผ่านร้านค้ามากมายหลายร้าน เสียดายจำชื่อห้างไม่ได้ รู้แต่ว่าซุปเปอร์มาเก็ตในร้านนี้รับ passmo หรือ suica ด้วย อันนี้แหละแจ่มมากมาย ^_^
เดินออกมาจากตัวห้างเลี้ยวซ้ายไปไม่ถึง 50 เมตร ก็มาถึงร้านซูชิที่ป้าอ๊อดภูมิใจนำเสนอกันแล้วค่ะ บรรยากาศภายในร้านค่อนข้างเรียบง่ายค่ะ เหมือนๆที่เราเห็นในทีวีเลย เราสามคนเดินเข้ามาในร้านพนักงานกล่าวต้อนรับ (ซึ่งเราฟังไม่ออกตามเคย ฮ่าๆๆ) 

 นั่งทานกันที่โต๊ะละกันนะลูก อยากกินอะไรก็สั่งเค้าได้ ป้าอ๊อดชักชวน
ยังไงก็ได้ค่ะป้าอ๊อด เราตอบป้าอ๊อดไป พลางสายตาก็สอดส่องดูซูชิที่วิ่งบนสายพาน
ป้าอ๊อดขอเมนูจากทางร้านแล้วยื่นให้เราเป็นคนตัดสินใจเลือกว่าจะทานอะไรบ้าง ราคาก็มีตั้งแต่ 120 เยนไปจนถึง 380 เยน ตามสีของจานค่ะ (สังเกตุรูปแรกจะเห็นราคาของแต่ละจาน) หยิบเมนูมาแล้วไม่รู้จะกินอะไรเลยค่ะ มันน่ากินไปหมด ไม่ว่าจะเป็นปลาโอ แซลมอน ปลาหมึก กุ้ง ไข่หอยเม่น... โอยยย น้ำลายสอกันเลยทีเดียว

อยากกินอันไหนบอกป้าอ๊อดเลยนะ เดี๋ยวป้าอ๊อดสั่งให้
เราสองคนจัดแจงบอกป้าอ๊อดเสร็จสรรพ แซลมอน ปลาโอ ปลาหมึก กุ้ง ... ลองชิมไข่หอยเม่นมั๊ยลูก โอ๋สายหน้า ไม่เอาค่ะป้าอ๊อด โอ๋กินไม่เป็น
มาถึงญี่ปุ่นน่าจะลองหน่อยนะ บ้านเราไม่มีให้กินหรอก ป้าอ๊อดคะยั้นคะยอ
รุ่งเอาค่ะป้าอ๊อด อยากลองชิมซักหน่อยว่ารสชาดเป็นยังไงบ้าง เราบอกป้าอ๊อดเสียงใส
โอเค เดี๋ยวเราสั่งมากินคนละจาน ส่วนโอ๋ไม่กิน แล้วซุปเอาซุปอะไรกันล่ะ มีซุปหอยลาย ซุปมิโสะ แล้วก็ซุปหัวปลา
เราสองคนมองหน้ากัน เอาซุปอะไรดีล่ะ  โอ๋บอก เค้าขอซุปมิโสะ
ป้าอ๊อดคะ โอ๋เอามิโสะ ร่งขอหอยลายค่ะ เราบอกป้าอ๊อด
งั้นป้าเอาซุปหัวปลา
ตกลงตามนั้นค่ะ เรากินซุปคนละชนิดเลย
 ที่ร้านซูชิ จะมีชาเขียววางด้านข้างให้เราบริการตัวเองค่ะ เติมชาเขียวในกระป๋องลงแก้วแล้วเปิดน้ำร้อนคล้ายๆก๊อกน้ำลงไป แค่นี้ก็ได้ชาเขียวร้อนๆกินแล้วค่ะ คนที่นี่ไม่นิยมกินชาเขียวเย็นเท่าไหร่ น่าจะเป็นเพราะสภาพอากาศของทีนี่ด้วยค่ะ (แอบถ่ายคุณลุงที่นั่งบาร์มาค่ะ อิอิ)

ไม่นานนักซูชิที่เราสั่งไปทั้งหมดก็วางอยู่ตรงหน้า โอ้โห เนิ้อปลาแต่ละชิ้นมันหนามากๆเลยค่ะ ข้าวที่อยู่ใต้ตัวปลาแทบมองไม่เห็นกันเลยทีเดียว ต่างจากบ้านเราเนื้อมามีน้อยมากๆ ส่วนข้าวเต็มเหยียด.... น้ำซุปพร้อม ซูชิพร้อม... ลงมือกินกันได้เลย.... เราเลือกซูชิหน้าแซลมอนมากินเป็นอันดับแรก อ้ำ...เรานำซูชิเข้าปาก เนื้อแซลมอนนุ่มกระทบลิ้นและกระพุ้งแก้ม โอ้...มันสดและนุ่มมากๆเลยชิ้นนี้ อร๊ายยยยย...อร่อยสุดๆเลยค่ะ ไม่เหมือนบ้านเราที่บางทีเนื้อแซลมอนจะติดมันเยอะ ทำให้รู้สึกเลี่ยนในบางครั้ง แต่ของที่นี่เนื้อแน่นสุดๆ เพิ่มรสชาดในการกินได้ดีเลย  ส่วนจานอื่นๆ เช่นปลาโอ กุ้ง ปลาหมึก รสชาดอร่อยไม่แพ้กันค่ะ น้ำซุปหอยลายที่สั่งมากลิ่นหอยลายคละคลุ้ง ซุปเข้มข้นมากๆ นอกจากจะมีเนื้อหอยลายที่บดละเอียดอยู่ในซุปแล้วยังมีเนื้อหอยลายด้วยล่ะ หอยตัวโตๆเคี้ยวนุ่มในปากพร้อมน้ำซุปร้อนๆ อืม เป็นอะไรที่ลงตัวมากๆค่ะ
จานเด็ดที่ไม่เคยกินมาก่อนก็ซูชิหน้าไข่หอยเม่นค่ะ เอาไงดีนะเรา จะลองหรือไม่ลองดีหว่า
ลองเลยลูก อร่อยนะ ลองกินดูสิ ไหนๆก็มาถึงถิ่นแล้ว ไม่กินไข่หอยเม่นมันน่าเสียดายนะ ป้าอ๊อดเริ่มยุให้ทดสอบกินหอยเม่น
เรายิ้มให้ป้าอ๊อดเลยน้อยก่อนจะหยิบข้าวหน้าไข่หอยเม่นเข้าปาก อ้ำ....... หืม...มันรู้สึกแปลกแฮะ แต่ยังไงในเมื่อเอาเข้าปากไปแล้วก็ต้องเคี้ยวล่ะค่ะ ... จัดการเคี้ยวเจ้าไข่หอยเม่น ง่ำๆๆๆ อืม..รสชาดมันออกมันๆเลี่ยนๆ แต่อร่อยค่ะ ... ป้าอ๊อดยื่นขิงดองให้ เรารับขิงดองมาแล้วจัดการโยนเข้าปาก อื้ม กินคู่กันมันไม่เลี่ยนเลยและขิงดองของที่นี่ไม่หวาน มีรสชาดขิงอยู่ครบถ้วน ทำให้ซูชิหน้าไข่หอยเม่นในขณะนี้อร่อยแบบสุดๆ  ในที่สุดก็จัดการไข่หอยเม่นให้หายวับไปกับตาจนได้ อิอิ .....
ป้าอ๊อดยกนาฬิกาขึ้นมาดู จะบ่ายสองแล้ว แม่น่าจะเลิกงานแล้วนะ เดี๋ยวป้าอ๊อดโทรหาแม่ก่อน
ป้าอ๊อดเดินไปหยอดเหรียญที่ตู้โทรศัพท์โทรหาแม่ เนื่องจากแม่ได้บอกป้าอ๊อดว่าถ้าถึงคามาตะแล้วให้โทรรายงานตัว ป้าอ๊อดเดินกลับมาพร้อมกับบอกเราสองคนว่าเดี๋ยวแม่จะปั่นจักรยานมาหาที่นี่ อีกไม่กี่อึดใจ ร่างของแม่ก็เดินเข้ามาในร้าน วันนี้แม่แต่งตัวจ๊าบเหมือนเคย เสื้อยืดกางเกงยีนส์แจ๊คเก็ต พร้อมหมวกคู่ใจ... เราสองคนมองแม่แล้วหันหน้าพูดพร้อมกัน แม่ผอมลงไปเยอะเลย
เป็นไงกันบ้างล่ะเราสองคน เป็นประโยคแรกที่แม่ทักทาย
แม่ผอมไปเยอะเลยนะเนี่ย โอ๋ตอบคำถามแม่ซึ่งเป็นคำตอบที่ไม่ตรงกับคำถามเอาซะเลย
อู๊ยยยยย ผงผอมอะไรกัน ก็ทำงานตลอดเนี่ย
ไม่ผอมยังไงอะ แม่ผอมมากเลยดูสิหน้าตอบหมดแล้ว โอ๋ยังเถียงไม่เลิก
อ้าวรุ่ง แล้วได้กินซูชิหรือยัง แม่เฉไฉมาคุยกะเราเฉ๊ย
อ่อ ทานแล้วค่ะแม่ เนี่ยกินกันจนพุงกางเลยค่ะ ป้าอ๊อดให้ลองกินไข่หอยเม่นด้วย
แล้วเป็นไงอร่อยมั๊ย
อร่อยดีค่ะ เราตอบแม่พร้อมกับส่งยิ้มให้
หลังจากนั้นแม่คุยกะป้าอ๊อดเรื่องการเดินทางไปยังบ้านของแม่และฮีโร่ซัง แม่บอกว่าให้ป้าอ๊อดพาเรานั่งแท๊กซี่กลับบ้าน แต่ป้าอ๊อดขัดใจโดยบอกว่าจะพานั่งรถเมล์หลานๆจะได้รู้ว่าไป-กลับกันยังไง เรารีบสมทบความคิดของป้าอ๊อด เพราะอีกหลายวันข้างหน้า เราสองคนต้องออกตะลอนญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงอยากเก็บประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด
เดินออกมาจากร้านซูชิ หน้าร้านเป็นป้ายรถเมล์ค่ะ เราจะนั่งรถเมล์ไปบ้านแม่กันค่ะ เดี๋ยวเจอกันที่บ้านนะจ๊ะ